สัปดาห์ที่ผ่านมาผมมีโอกาสกลับไปบ้านที่ต่างจังหวัด เลยได้ขับรถกระบะสีแดงพาเพื่อนๆไปท่องเที่ยวละแวกหมู่บ้าน จอดแวะเติมน้ำมันดีเซลที่ปั๊ม PTT Station ที่ชาวบ้านก็ยังเรียกติดปากว่าปั๊ม ปตท.
ดีเซลตามราคาที่ประกาศวันที่เติมนั้น ยังอยู่ที่ 33.94 บาทต่อลิตรถูกกว่า แก๊สโซฮอล์ 95 ที่ขายอยู่หัวจ่ายข้างๆกัน ราคา 36.35 บาทต่อลิตร หรือถูกกว่าลิตรละ 2.41 บาท
ในความรู้สึกของคนใช้ดีเซลคงคิดขอบคุณรัฐบาล และกระทรวงพลังงานที่ช่วยตรึงราคาดีเซลเอาไว้ให้คนได้ใช้ในราคาที่ต่ำกว่าต้นทุนจริง เพราะตลอดทั้งปี 2565 ที่ผ่านมารัฐใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปชดเชยราคาเอาไว้ ทั้งดีเซลและก๊าซหุงต้มจนมีฐานะติดลบสูงสุดเป็นประวัติการณ์กว่า 1.3 แสนล้านบาท ในขณะที่กลุ่มน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล์ ที่รถยนต์นั่ง และมอเตอร์ไซค์ เติมกันนั้น รัฐปล่อยให้ราคาปรับขึ้นๆลงๆ ตามกลไกตลาด
มองแบบคนเข้าใจโครงสร้างราคาดีเซล ก็จะรู้ว่า การที่รัฐเอากองทุนน้ำมันไปชดเชยราคาดีเซลไว้ให้ในช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงราคาน้ำมันขาขึ้น ที่บางจังหวะกองทุนน้ำมันต้องเข้ามาชดเชยดีเซล สูงถึงลิตรละ 14 บาทต่อลิตร เพื่อไม่ให้ราคาทะลุเพดาน 35 บาทต่อลิตร ในขณะที่ช่วงเดียวกันผู้ใช้แก๊สโซฮอล์ ต้องจ่ายกันเกินลิตรละ 40 บาท แต่เมื่อมาถึงจังหวะราคาน้ำมันขาลง ผู้ใช้ดีเซล ก็ต้องทยอยถูกเก็บเงินคืนกองทุน โดยไม่ได้ลดราคาน้ำมันลงตามจริง เช่นกัน
โดย ณ วันที่ 27 ก.พ. 2566 คนใช้ดีเซลต้องถูกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน ในทุกลิตรที่ใช้ 5.12 บาท ในขณะที่ แก๊สโซฮอล์ 95 ถูกเก็บเข้ากองทุน 2 บาทต่อลิตร
ยังดีที่ค่าการตลาดดีเซลนั้นถูกเก็บ 1.44 บาทต่อลิตร ในขณะที่ แก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ที่ 2.70 บาทต่อลิตร
ปัจจุบันฐานะกองทุนน้ำมันในตอนนี้ มีเงินไหลเข้ามากกว่าไหลออก ทำให้ตัวเลขติดลบค่อยๆ ลดลง จาก 1.3 แสนล้านบาทเหลือ 1.1 แสนล้านบาท ถ้าสถานการณ์ยังเป็นไปในทิศทางแบบนี้ เชื่อว่าปีหน้า กองทุนน้ำมันคงจะปลดภาระหนี้ได้ทั้งหมด และคนที่จะต้องจ่ายคืนหนี้พร้อมดอกเบี้ยเงินกู้เป็นส่วนใหญ่ ก็คือคนใช้ดีเซล