เขียนเล่าข่าว​ EP. 25​ ผลพวงจากการตรึงราคาดีเซล​ปี​65

350
- Advertisment-

สงครามรัสเซีย​ -​ยูเครน​เมื่อต้นปี​2565​ ทำให้ราคาน้ำมันดิบและLNG LPG​ พุ่งสูงขึ้นจนกระทบไปทั่วโลก

ไทยนั้นเป็นประเทศผู้นำเข้าพลังงานสุทธิ​ หมายถึง​ ผลิตพลังงานได้เองในประเทศไม่พอใช้​ ต้องนำเข้าทั้งน้ำมันดิบและLNG​ LPG เข้ามาเติมเต็มความต้องการจึงได้รับผลกระทบไปเต็มๆเช่นเดียวกับประเทศผู้นำเข้าพลังงานทั้งหลาย

โฟกัสเฉพาะเรื่องน้ำมัน​ ภาพรวมของนโยบายที่รัฐบาลใช้มาตลอดปี​ 2565​ และยังต่อเนื่องมาถึงปี​ 2566​ คือ​การตรึงราคาดีเซลเอาไว้ไม่ให้เกิน​ 30​ บาทต่อลิตรในช่วงแรก​ ก่อนที่จะขยับเพดานขึ้นมาเป็น​ไม่เกิน​ 35​ บาทต่อลิตร​ ในขณะที่ราคาดีเซลตามต้นทุนจริง​บางช่วงนั้นทะลุเกิน​ 40​ บาทต่อลิตร​ ( เฉลี่ยราคาน้ำมันดีเซล หรือ​Gas Oil ปี 2565 อยู่ที่ 135.54 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น​74.26 %เมื่อเทียบกับปี​ 2564​ ข้อมูลจาก​ สกนช.​)​

- Advertisment -

โดยเครื่องมือที่รัฐใช้ตรึงราคาดีเซล​ มีอยู่​ 3​ ส่วนสำคัญคือ​ 1.ใช้เงินจากกองทุนน้ำมันมาชดเชย​ 2.การลดภาษีสรรพสามิตดีเซล​ และ​ 3.​การขอความร่วมมือ​ผู้ค้าน้ำมัน​คิดค่าการตลาดดีเซล​ ในระดับ​ 1.40​ บาทต่อลิตร​

ส่วนน้ำมันกลุ่มเบนซินและแก๊ส​โซฮอล์​ ที่ส่วนใหญ่เป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคล​และรถมอเตอร์ไซค์​ รัฐปล่อยให้ราคาปรับขึ้นลง​ตามต้นทุนตลาดโลก​ ผู้ใช้กลุ่มนี้เสียเปรียบกลุ่มผู้ใช้ดีเซล​ตรงที่ ต้องจ่ายภาษีสรรพสามิต​สูงกว่า​ จ่ายเงินเข้ากองทุนน้ำมันมากกว่า​ และถูกบวกค่าการตลาดจากผู้ค้าแพงกว่ามาโดยตลอด​

ผลพวงจากการตรึงราคาดีเซลเอาไว้เป็นเวลานาน​ ทำให้กองทุนน้ำมันติดลบสูงสุดเป็นประวัติการณ์​ ถึง​1.3​ แสนล้านบาท​ ต้องให้สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง​ หรือ​ สกนช.​กู้เงิน​โดยที่มีการแก้ไขกฏหมายให้กระทรวงการคลังค้ำประกัน​วงเงิน​1.5​แสนล้านบาท​ ถึงตอนนี้กู้มาใช้แล้ว​ 3​ หมื่นล้านบาท​ โดยจะทยอยเก็บเงินจากกลุ่มผู้ใช้ดีเซล​ มาคืนหนี้พร้อมดอกเบี้ย​ ในช่วงที่ราคาดีเซลเป็นขาลง

ส่วนในเรื่องของการลดอัตราภาษีสรรพสามิต​ดีเซลลงชั่วคราว​ ก็ทำให้รัฐสูญเสียรายได้จากภาษีเป็นตัวเลขกลมๆประมาณ​ 2​ แสนล้านบาท

นโยบายการตรึงราคาดีเซลเอาไว้เป็นเวลานาน​ ยังทำให้การใช้ดีเซลพุ่งสูง​ขึ้น​กว่ากลุ่มเบนซินค่อนข้างมาก​ โดย กรมธุรกิจพลังงาน เปิดเผยภาพรวมการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงปี 2565 เฉลี่ยอยู่ที่ 151 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มขึ้น​13.5 % เมื่อเทียบกับปี​ 2564​ การใช้กลุ่มดีเซลเฉลี่ยอยู่ที่ 73.05 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มขึ้น 15.7 % ส่วนการใช้กลุ่มเบนซิน​เฉลี่ยอยู่ที่ 30.16 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มขึ้น 3.9 %

ที่น่าสนใจคือการใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้น​ทำให้ตัวเลขปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบอยู่ที่ 913,297 บาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้น 5.8 % แต่ในแง่มูลค่าการนำเข้าน้ำมันดิบอยู่ที่ 104,790 ล้านบาทต่อเดือน เพิ่มขึ้นถึง 72.7 %

ภาครัฐให้เหตุผลถึงความพยายามอย่างเต็มที่ในการตรึงราคาดีเซล​ เพราะเป็นน้ำมันที่มีผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจ​ของประเทศ​ ถ้าปล่อยให้ราคาปรับสูงขึ้นตามต้นทุนจริง​จะกระทบกับต้นทุนภาคการผลิตและค่าครองชีพของประชาชน​ แต่ในมุมมอง​ของ​ ดร.ณรงค์ชัย​ อัครเศรณี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน​ ที่เขียนลงในเฟซบุคส่วนตัวว่ารัฐบาลมองน้ำมันเป็นสินค้ากึ่งการเมือง​ ปล่อยให้ราคาแพงมากไม่ได้​ การเข้าไปตรึงราคาโดยใช้กลไกกองทุนน้ำมันและรัฐไปค้ำประกันทำให้หนี้กองทุนจึงกลายเป็นหนี้สาธารณะ ที่หมายถึงหนี้ของทุกคนในประเทศไทย ไม่ว่าจะใช้หรือไม่ใช้น้ำมันก็ตาม ซึ่งถ้ารัฐบาลยังใช้นโยบายนี้อยู่ ภาระหนี้ก้อนนี้ก็จะมีต่อไปและอาจเพิ่มขึ้นด้วย

กระทรวงการคลังประเมินตัวเลข​GDP ของประเทศ​ ปี​ 2565​ ว่าจะโต​ 3.0​ % ในประเทศที่พัฒนาแล้ว​ ตัวเลขการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นน้อยกว่าการเติบโตของGDP ยิ่งสะท้อนถึงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน​ ของประเทศ​นั้น แต่กรณีของประเทศไทยที่การใช้ดีเซล​โตมากถึง​ 15.7% แต่ช่วยขยับ​ GDP​ ให้โตได้แค่​ ​3.0​% กลายเป็นภาพสะท้อนถึงความสิ้นเปลืองหรือไม่

ก็น่าคิดว่า​ ของราคาแพง​ นำเข้ามาปริมาณมาก​ ถูกบิดเบือนราคาให้ต่ำ แต่ทำแล้วไม่ช่วยสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ​อย่างที่ควรจะเป็น​ เป็นการดำเนินนโยบายที่ห่วงปัจจัยทางการเมืองมากเกินไป​ ได้ไม่คุ้มเสียกับประเทศหรือไม่​

อีกผลพวงที่จะตามมา​ จากเพดานราคาดีเซล​ 35​บาทต่อลิตร​ เป็นเรื่องของความรู้สึกของคนที่เคยใช้ของถูกกว่า​แต่ต้องมาใช้แพงกว่า​ คือในช่วงที่ราคาน้ำมันขาลง คนใช้แก๊สโซฮอล์​ จะได้ใช้น้ำมันราคาถูกกว่า​ดีเซล​ ที่ต้องทยอยเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันใช้คืนหนี้ที่เอามาชดเชยราคาให้​กว่าแสนล้านบาท รัฐจะบริหารจัดการอย่างไรดี​ ? หรือจะปล่อยให้กลุ่มผู้ใช้เบนซินและแก๊ส​โซฮอล์​ เสียเปรียบทั้งขาขึ้นและขาลง​ ต้องติดตามดูกัน

Advertisment