ไทยเป็นประเทศที่ต้องนำเข้าน้ำมันดิบมากลั่นเป็นน้ำมันสำเร็จรูปเพื่อให้เพียงพอใช้ในประเทศ ส่วนที่เหลือใช้ก็ส่งออก
น้ำมันดิบที่ผลิตมาจากในประเทศมีอยู่บ้างแต่ไม่ถึง 15% ดังนั้น ในยามที่ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกขยับขึ้นสูง หรืออัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ จึงส่งผลกระทบต่อต้นทุนราคาในประเทศ เพราะโรงกลั่นซื้อน้ำมันดิบเป็นดอลลาร์สหรัฐแต่ขายน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศเป็นเงินบาท
จากวิกฤตความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย – ยูเครนเมื่อช่วงต้นปีทำให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นมาก และส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
มาโฟกัสถึงความเดือดร้อนว่าใครถูกกระทบมากที่สุด ดูตามโครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 6 ก.ค. 65 คนที่จ่ายค่าน้ำมันแพงที่สุดคือ คนใช้เบนซิน 95 ที่ราคาขายปลีกอยู่ที่ลิตรละ 51.96 บาททั้งๆที่ราคาหน้าโรงกลั่นแค่ลิตรละ 33.49 บาท หรือมีส่วนต่างถึงลิตรละ 18.47 บาท
โดยผู้ใช้เบนซิน95 ต้องจ่ายภาษีสรรพสามิตลิตรละ 6.50 บาท จ่ายเข้ากองทุนน้ำมันลิตรละ 7.18 บาท และค่าการตลาดอีกลิตรละ 0.72 บาท
รองลงมาคือคนใช้แก๊สโซฮอล์95E10 ที่ต้องซื้อราคาหน้าปั๊มลิตรละ 44.55 บาท ในขณะที่ราคาหน้าโรงกลั่นอยู่ที่ 31.64 บาท หรือมีส่วนต่างลิตรละ 12.91 บาท
คนที่เติมแก๊สโซฮอล์95E10 นั้นมีทั้งรถยนต์นั่งส่วนบุคคลและรถมอเตอร์ไซค์ ซึ่งต้องจ่ายภาษีสรรพสามิต ลิตรละ 5.85 บาทและถูกบวกค่าการตลาดอีกลิตรละ 3.45 บาท
ส่วนคนที่ถูกกระทบน้อยที่สุดคือกลุ่มคนใช้ดีเซล เพราะราคาหน้าปั๊มอยู่ที่ลิตรละ 34.94 บาท แต่ราคาหน้าโรงกลั่นอยู่ที่ลิตรละ 37.01 บาท หรือได้ใช้ถูกลงลิตรละ 2.07 บาท ที่เป็นเช่นนี้ เพราะรัฐลดภาษีสรรพสามิตลงให้ 5 บาทต่อลิตร และใช้เงินกองทุนน้ำมันเข้าไปชดเชยลิตรละ 7.54 บาท แถมยังถูกบวกค่าการตลาดเพียงลิตรละ 1.70 บาท
โดยฐานะของกองทุนน้ำมัน ณ วันที่ 3 ก.ค. 65 ที่ติดลบสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ที่ 107,601 ล้านบาทนั้น มาจากการเข้าไปชดเชยราคาดีเซลถึง 69,718 ล้านบาท อีก 37,883 ล้านบาทคือการเอาไปชดเชยราคา LPG
ถึงแม้ว่าในสถานการณ์ราคาน้ำมันแพง และกลุ่มคนใช้ดีเซลได้รับผลกระทบน้อยที่สุดเพราะรัฐใช้ทั้งกลไกภาษีสรรพสามิตและกองทุนน้ำมันเข้ามาช่วย รวมแล้วเกินกว่าแสนล้านบาท แต่จากผลสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 18 เมื่อเดือน มิ.ย. 65 ครอบคลุมผู้บริหารจำนวน 165 คนจาก
45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัดส่วนใหญ่ยังอยากให้รัฐพิจารณาขยายเวลาลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล 5 บาทต่อลิตร ที่กำลังจะสิ้นสุดในวันที่ 20 กรกฎาคม 2565 ออกไปอีก 2 – 3 เดือน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนและช่วยลดภาระต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการเพราะ ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นนั้นกระทบต่อต้นทุนการผลิตประมาณ 20% ในขณะที่ผู้ผลิตปรับราคาขายสินค้าได้น้อยกว่า 10% เนื่องจากต้องการรักษายอดขาย และ ขีดความสามารถการแข่งขันในตลาด
ในขณะที่คุณกรณ์ จาติกวณิช จากพรรคกล้า ออกมาโพสต์ถึงเรื่องค่าการตลาดของผู้ค้าว่าในช่วง3-4วันที่ผ่านมานั้นเพิ่มขึ้นมากกว่า 1 บาท โดยแก๊สโซฮอล์95 E10 สูงถึง 3.42 บาทต่อลิตร ส่วน แก๊สโซฮอล์91 อยู่ที่ 3.62 บาทต่อลิตรทั้งๆที่ค่าการตลาดปกติไม่ควรเกิน 2 บาทต่อลิตร
ซึ่งกรณีดังกล่าว ดร.สมภพ พัฒนอริยางกูล โฆษกกระทรวงพลังงาน ออกมาชี้แจงสรุปได้ว่า ควรดูค่าการตลาดในภาพรวมของทุกชนิดน้ำมัน เพราะปั๊มจำหน่ายน้ำมันหลายชนิด และไม่ควรเปรียบเทียบค่าการตลาดเป็นรายวัน เพราะราคาเนื้อน้ำมันมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงทุกวันตามราคาตลาดโลก
โดยดร.สมภพ ชี้ให้ดูค่าเฉลี่ยของค่าการตลาดในแต่ละเดือนในปีนี้ก็ยังอยู่ในกรอบที่ภาครัฐดูแล คือเฉลี่ยของทุกชนิดน้ำมันทั้งเบนซินและดีเซล ตั้งแต่วันที่ 1 – 6 กรกฎาคม 2565 อยู่ที่ 2.17 บาทต่อลิตร ซึ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของปี 2564 ทั้งปี ที่ 2.14 บาทต่อลิตร
เขียนเล่าข่าว EP 13 จั่วหัวเรื่องไว้ว่า ราคาน้ำมันแพง ใครถูกกระทบมากสุด และเอาข้อมูลมาแสดงเพื่อตอบคำถามว่าคือกลุ่มคนใช้เบนซินและแก๊สโซฮอล์ ที่มีฐานจำนวนประชากรผู้ใช้มากที่สุด
คุณกรณ์ นั้นโพสต์เรื่องค่าการตลาดของแก๊สโซฮอล์ที่สูงกว่าปกติ
โฆษกกระทรวงพลังงาน บอกให้มองภาพรวมค่าเฉลี่ยทุกชนิดน้ำมัน และให้เฉลี่ยยาวๆ
ข้อสรุปก็ตรงกันว่า เมื่อรัฐขอความร่วมมือผู้ค้าน้ำมันดูแลค่าการตลาดดีเซลในระดับ 1.40 บาทต่อลิตรซึ่งต่ำกว่าปกติและดีเซลก็เป็นน้ำมันที่มียอดจำหน่ายมากที่สุดเฉลี่ยในเดือน ม.ค. – พ.ค. 65 อยู่ที่ 75.81 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 15.6 % (มีรถใช้ดีเซลประมาณ 12 ล้านคัน) ในขณะที่กลุ่มเบนซิน ยอดการใช้เฉลี่ยอยู่ที่ 29.71 ล้านลิตรต่อวัน ลดลง 0.3 % ( มีรถกลุ่มเบนซิน 29 ล้านคัน ) ก็จำเป็นอยู่ดีที่ผู้ค้าน้ำมัน ต้องดึงค่าการตลาดแก๊สโซฮอล์ให้สูง เพื่อมาชดเชยค่าการตลาดดีเซลที่ต่ำ ไม่เช่นนั้นคนทำธุรกิจปั๊มน้ำมันก็ไปไม่รอด
น่าคิดว่าจังหวะการเมืองแบบนี้ ใครออกมาเป็นปากเป็นเสียงช่วยคนใช้เบนซินกับแก๊สโซฮอล์ ที่ถูกกระทบจากราคาน้ำมันมากที่สุด อาจจะได้คะแนนนิยมเป็นกอบเป็นกำก็เป็นได้