“สนธิรัตน์”รัฐมนตรีพลังงานคนใหม่ สั่งทบทวนแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าประเทศ(PDP2018)ใหม่ให้สอดคล้องกับแนวทางการให้ชุมชนมีส่วนร่วมผลิตไฟฟ้า และการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี โดยรองนายกรัฐมนตรี “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ” มีกำหนด มอบนโยบายกระทรวงพลังงาน สัปดาห์หน้า
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า กระทรวงพลังงานจะมีการทบทวนแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าประเทศ(PDP2018)ใหม่ให้สอดคล้องกับแนวนโยบายด้านพลังงานของรัฐบาลที่แถลงต่อรัฐสภา ที่ต้องการให้พลังงานเข้าถึงประชาชนทุกระดับ ชุมชนสามารถมีส่วนร่วมในการผลิตไฟฟ้า เพื่อลดรายจ่ายและสร้างรายได้ พร้อมเพิ่มสัดส่วนของพลังงานหมุนเวียน
ทั้งนี้แผนPDPที่มีการทบทวนใหม่ จะต้องสอดคล้องกับเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าที่มีการเปลี่ยนแปลงสูง (Disruptive Technology) ทั้งในเรื่องของ ระบบสายส่งอัจฉริยะ (Smart Grid ) และ ระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System) และการที่ประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางพลังงานไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียน
นายสนธิรัตน์ กล่าวถึง นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีที่เพิ่งได้รับการมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้กำกับดูแลกระทรวงพลังงาน ว่า ในสัปดาห์หน้านายสมคิด จะเดินทางมาเยี่ยมและมอบนโยบายที่กระทรวงพลังงาน
ด้านนาย กุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวตอบคำถามถึงแผนPDP2018 ที่เพิ่งจะผ่านความเห็นชอบจากรัฐบาลชุดคสช. เมื่อวันที่ 30เม.ย.2562 ที่ผ่านมา ว่า แผนPDP สามารถที่จะปรับทบทวนได้ตลอดเวลาเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางพลังงานที่เปลี่ยนแปลงไป โดยนโยบายของรัฐบาลปัจจุบัน ต้องการที่จะทำให้พลังงานเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชน
ทั้งนี้ การทบทวนแผนPDP2018 จะต้องมีการปรับแผน พลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก หรือ AEDP2018ที่อยู่ระหว่างการรับฟังความคิดเห็นให้สอดคล้องกันด้วย รวมทั้งแผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ Gas Plan 2018 ที่กบง.มีมติรับทราบ ก็จะต้องปรับด้วย
แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า การทบทวนแผนPDP2018 ใหม่ จะทำให้ต้องทบทวนมติ กบง.ที่อนุมัติให้ ราช กรุ๊ป (RATCH)ดำเนินการสร้างโรงไฟฟ้าภาคตะวันตก 1,400เมกะวัตต์ และการเปลี่ยนเชื้อเพลิง จากถ่านหิน เป็นก๊าซ ในโรงไฟฟ้า ขนาดกำลังผลิต 540เมกะวัตต์ ของบริษัทเนชั่นแนล เพาเวอร์ ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) หรือ NPS รวมทั้งการนำข้อเสนอของผู้ตรวจการแผ่นดิน ที่ให้รัฐต้องถือหุ้นโรงไฟฟ้าในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 51 % เพื่อให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ2560 มาตรา 56วรรคสอง มาพิจารณาประกอบด้วย