บริษัท เอ็กซอนโมบิล เอ็กซ์โพรเรชั่น แอนด์ โพรดักชั่น โคราช อิงค์ และ กระทรวงพลังงาน ร่วมลงนามในสัญญาขยายสัมปทานการดำเนินธุรกิจผลิตก๊าซธรรมชาติ ในเขตอำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น สัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ 2/2522/17 แปลงสำรวจบนบกหมายเลข E5 (นอกพื้นที่โคราช) หรือ แหล่งก๊าซธรรมชาติน้ำพอง โดยต่อระยะเวลาสัมปทานให้บริษัท เอ็กซอนโมบิล เอ็กซ์โพรเรชั่น แอนด์ โพรดักชั่น โคราช อิงค์ ออกไปอีก 10 ปี ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2564 – 2574 ซึ่งก๊าซธรรมชาติที่ผลิตได้จะจัดจำหน่ายให้แก่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เพื่อส่งต่อให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยนำไปผลิตกระแสไฟฟ้าสำหรับครัวเรือนและธุรกิจในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย
ในโอกาสนี้ นายสุพัฒน์พงษ์ พันธุ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ลงนามในสัญญาขยายสัมปทานการดำเนินธุรกิจผลิตก๊าซธรรมชาติน้ำพองในจังหวัดขอนแก่น ร่วมกับ นายชัชวาลย์ หงษ์เจริญไทย รองประธาน บริษัท เอ็กซอนโมบิล เอ็กซ์โพลเรชั่น แอนด์ โพรดักชั่น โคราช อิงค์ ที่ ห้องประชุมกระทรวงพลังงาน ศูนย์เอ็นเนอร์ยี่คอมเพล็กซ์ กรุงเทพฯ โดยมีผู้บริหารจากสองหน่วยงานร่วมแสดงความยินดี ประกอบด้วยนายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน ดร.สราวุธ แก้วตาทิพย์ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ดร. อดิศักดิ์ แจ้งกมลกุลชัย ผู้จัดการใหญ่บริษัทในเครือเอ็กซอนโมบิลในประเทศไทย และ ดร. ทวีศักดิ์ บรรลือสินธุ์ ผู้จัดการฝ่ายกิจกรรมองค์กรและรัฐกิจสัมพันธ์ บริษัท เอ็กซอนโมบิล จำกัด
การลงนามดังกล่าว เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2564 โดยเป็นการต่อระยะเวลาการผลิตปิโตรเลียมออกไปอีก 10 ปี นับตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2564 ถึงวันที่ 15 มีนาคม 2574 ซึ่งเป็นไปตามข้อกำหนดของกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม
–
การต่อสัญญาสัมปทานในครั้งนี้ บริษัท เอ็กซอนโมบิล เอ็กซ์โพลเรชั่น แอนด์ โพรดักชั่น โคราช อิงค์ คาดว่าจะจัดส่งก๊าซธรรมชาติได้ในปริมาณ 8 ล้าน ลบ.ฟุตต่อวัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการผลิตกระแสไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าน้ำพองที่ให้แสงสว่างกว่า 1 ล้านครัวเรือนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน
สำหรับแปลงสำรวจบนบกหมายเลข E5 (นอกพื้นที่โคราช) หรือแหล่งก๊าซธรรมชาติน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น มีพื้นที่ผลิตปิโตรเลียม จำนวน 34.40 ตารางกิโลเมตร ซึ่งครอบคลุมพื้นที่อำเภอน้ำพอง และอำเภออุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น โดยการต่อระยะเวลาผลิตปิโตรเลียมในครั้งนี้ จะเป็นการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เนื่องจากก๊าซธรรมชาติที่ผลิตจากแหล่งดังกล่าวประมาณวันละ 7-8 ล้านลูกบาศก์ฟุต จะถูกส่งไปเป็นเชื้อเพลิงเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าให้ประชาชนกว่าล้านครัวเรือนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งเสริมการสร้างงานในประเทศ ทั้งในส่วนที่เกี่ยวข้องโดยตรงและอุตสาหกรรมอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมถึงสร้างรายได้ให้แก่รัฐ รวมทั้งสิ้นประมาณ 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นประมาณ 750 ล้านบาท
ดร. อดิศักดิ์ แจ้งกมลกุลชัย ผู้จัดการใหญ่บริษัทในเครือเอ็กซอนโมบิลในประเทศไทย ได้กล่าวว่า “การลงนามในสัญญาต่ออายุสัมปทานในครั้งนี้ ได้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเราในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ในฐานะหนึ่งในบริษัทชั้นนำด้านการขุดเจาะและผลิตก๊าซธรรมชาติ ด้วยประสบการณ์การทำงานในการผลิตก๊าซธรรมชาติจากแหล่งบนบกของภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยมาอย่างยาวนานหลายสิบปี เรายินดีที่ได้ทำงานร่วมกับรัฐบาลไทยเพื่อความมั่นคงในการจัดหาพลังงานให้สอดคล้องกับความต้องการและการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ”
นายชัชวาลย์ หงษ์เจริญไทย รองประธานบริษัท เอ็กซอนโมบิล เอ็กซ์โพลเรชั่น แอนด์ โพรดักชั่น โคราช อิงค์ กล่าวว่า “ขอขอบคุณกระทรวงพลังงานที่ได้สนับสนุนการดำเนินงานของเรามาโดยตลอด และขอยืนยันในความมุ่งมั่นของเราที่จะขยายการจัดหาพลังงานของประเทศในระยะยาว พร้อมทั้งร่วมดำเนินงานกับรัฐบาลไทยเพื่อพัฒนาและจัดหาพลังงานให้กับประชาชนคนไทยอย่างต่อเนื่อง”
นอกจากนั้น และเมื่อเร็วๆ นี้ ทางบริษัท เอ็กซอนโมบิล เอ็กซ์โพลเรชั่น แอนด์ โพรดักชั่น โคราช อิงค์ ได้ฉลองการทำงานด้วยความปลอดภัยโดยไม่เสียเวลาการทำงานมาเป็นระยะเวลาถึง 30 ปี นับแต่เริ่มดำเนินการผลิตก๊าซเป็นต้นมา ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นในการนำทรัพยากรของชาติ มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างปลอดภัย นอกจากนี้ ยังได้จัดตั้งกองทุนการศึกษาสำหรับเยาวชนร่วมกับกลุ่มบริษัทพลังงานน้ำพอง รวมถึงร่วมกับหน่วยงานสถาบันในท้องถิ่น เพื่อยกระดับมาตรฐานด้านสุขอนามัย สิ่งแวดล้อม และความเป็นอยู่ของชุมชนอย่างต่อเนื่อง และจากความสำเร็จที่ผ่านมา รวมถึงการปฎิบัติตามสัญญาในกฏระเบียบของการได้รับสัมปทาน และการทำประโยชน์ต่อประเทศชาติเป็นอย่างดี ทำให้ บริษัท เอ็กซอนโมบิล เอ็กซ์โพรเรชั่น แอนด์ โพรดักชั่น โคราช อิงค์ ได้รับความไว้วางใจจากรัฐบาลไทย ในการผลิตปิโตรเลียมในสัมปทานแหล่งก๊าซธรรมชาติน้ำพองต่อไปอีกเป็นระยะเวลา 10 ปี
–