บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ฝากรัฐบาลใหม่ สานต่อนโยบายพลังงานสะอาด พร้อมคาดหวังนโยบายที่มั่นคง ต่อเนื่อง และสามารถรับแรงกระทบจากปัจจัยภายนอกได้ แนะบริหารค่าไฟฟ้าให้กระทบประชาชนน้อยที่สุด และมองนโยบายระยะยาวด้วย สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาสแรก ปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้รวม จำนวน 17,005 ล้านบาท และมีกำไร 1,448 ล้านบาท เหตุขยายโรงไฟฟ้าได้ตามแผน
นางสาวชูศรี เกียรติขจรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงรัฐบาลใหม่ว่า รัฐบาลที่คิดนโยบายต่างๆ มาเพื่อประชาชน ถือว่าทำถูกต้องแล้ว แต่อยากฝากให้ดูแลในระยะยาว ควบคู่กับการดูสถานการณ์โลก เพราะที่ผ่านมาจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ นโยบายการค้าระหว่างประเทศ นโยบายอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รวมถึงเรื่องของเงินเฟ้อ มีผลต่อการบริหารประเทศทั้งสิ้น จึงคาดหวังนโยบายภาครัฐที่มั่นคงสามารถรับแรงกระทบกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นจากภายนอกได้ รวมถึงนโยบายต้องต่อเนื่อง สนับสนุนธุรกิจทั้งด้านภาษีและการเงิน เป็นต้น
นายสาครินทร์ ตังคะวชิรานนท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่พัฒนาธุรกิจไฟฟ้า ราช กรุ๊ป กล่าวว่า ไม่ว่าจะรัฐบาลไหนที่จะเข้ามา สิ่งที่หนีไม่พ้น คือการเปลี่ยนผ่านพลังงานสู่พลังงานสะอาด ความเป็นกลางทางคาร์บอนที่การดำเนินธุรกิจจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อต้องเปลี่ยนผ่านพลังงานอาจต้องเน้นในเรื่องของพลังงานหมุนเวียน ที่ยังไม่มีความเสถียร 100% อาจจะต้องพึ่งพาพลังงานแบบเดิมด้วย แต่ต้องพิจารณาว่าควรมีสัดส่วนระดับใดถึงจะเหมาะสม
ทั้งนี้รัฐบาลใหม่จะต้องโฟกัสทั้ง ภาคประชาชน และอุตสาหกรรม ว่าจะทำอย่างไรให้ค่าไฟฟ้าไม่สูงจนเกินไป และกระทบต่อประชาชนน้อยที่สุด ส่วนการตรึงราคาค่าไฟฟ้า ขอใช้คำว่าการบริหารค่าไฟฟ้า โดยพยุงราคาเพื่อไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน แต่หากตรึงมากจนไม่สะท้อนต้นทุนการผลิตไฟฟ้าของทั้งรัฐและเอกชน สุดท้ายก็มีปัญหาย้อนกลับมาอีก ดังนั้นที่ประเทศไทยใช้กลไกสูตรไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (Ft) ในการบริหารค่าไฟฟ้านั้นเหมาะสมแล้ว แต่รัฐบาลต้องดูว่าจะบริหารอย่างไรไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน รวมถึงต้องคำนึงถึงภาคการลงทุน การผลิต และประชาชนด้วย
อย่างไรก็ตามจากนโยบายพรรคก้าวไกล ระบุว่าจะมีการแก้ไขสัญญากลุ่มโรงไฟฟ้านั้น จริงๆ แล้ว เมื่อดูในช่วงที่ผ่านมา การหาเสียงของพรรคการเมืองมีมากมาย ในส่วนของนโยบายไม่ผิดอะไร แต่สุดท้ายต้องมองว่าอะไรที่ทำได้และทำไม่ได้ ซึ่งต้องมาดูในรายละเอียดที่มีมากมาย ส่วนสัญญาโรงไฟฟ้าในอนาคตนั้น ส่วนตัวเห็นด้วยที่นโยบายของพรรคจะชะลอบางเรื่องที่ยังไม่มีการลงทุน แต่บางเรื่องที่ลงทุนไปแล้วในบางจังหวะอาจทำให้ประเทศเสี่ยงด้านความมั่นคง จึงต้องพิจารณาในด้านการสร้างสมดุลด้วย
นางสาวชูศรี กล่าวว่า สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาสแรก ปี 2566 มีรายได้รวม จำนวน 17,005 ล้านบาท ต้นทุนและค่าใช้จ่ายรวม จำนวน 15,310 ล้านบาท และกำไรส่วนของบริษัท 1,448 ล้านบาท ทั้งนี้ ธุรกิจไฟฟ้ายังคงสร้างรายได้หลักให้กับบริษัทฯ เป็นจำนวน 16,494 ล้านบาท คิดเป็น 97% ของรายได้รวม โดยเป็นรายได้จากกลุ่มโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิล 14,603 ล้านบาท (88.5%) และรายได้จากโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน 1,891 ล้านบาท (11.5%) ส่วนกลุ่มธุรกิจ Non-Power เริ่มรับรู้รายได้เพิ่มขึ้น โดยไตรมาสนี้มีจำนวน 511 ล้านบาท คิดเป็น 3% ของรายได้รวม โดยปีนี้จะทุ่มงบลงทุนรวม 3.5 หมื่นล้านบาท
ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา สามารถดำเนินงานก้าวหน้าได้ตามแผน โดยส่วนขยายของโรงไฟฟ้าราช โคเจนเนอเรชั่นขนาดกำลังการผลิต 31.2 เมกะวัตต์ เริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์จำหน่ายไฟฟ้าและไอน้ำแก่ลูกค้าอุตสาหกรรมแล้ว และโรงพยาบาลพริ้นซ์ สกลนคร ขนาด 59 เตียง ได้เปิดให้บริการแล้วเช่นกัน สำหรับการร่วมลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนไพตัน กำลังการผลิตติดตั้ง 2,045 เมกะวัตต์ ในอินโดนีเซีย คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในไตรมาส 2 ซึ่งจะสามารถรับรู้รายได้ในไตรมาสที่ 3 ปีนี้
นอกจากนี้ โครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและกำหนดจะเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในปี 2567 จำนวน 8 โครงการ รวมกำลังการผลิต 518.66 เมกะวัตต์ มีความคืบหน้าตามแผนงาน สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมหินกองอยู่ระหว่างดำเนินการจัดหาเชื้อเพลิง ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 3 นี้ ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์คาลาบังก้า ในฟิลิปปินส์ กำลังการผลิตตามสัดส่วนการลงทุน 36.33 เมกะวัตต์ กำลังดำเนินการจัดหาเงินกู้โครงการและจะเริ่มดำเนินงานก่อสร้างในเดือน มิ.ย. 2566 ซึ่งโครงการนี้ถือเป็นความสำเร็จในการบุกเบิกธุรกิจในประเทศฟิลิปปินส์
“เรายังคงเดินหน้าแผนการลงทุนให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ โดยธุรกิจผลิตไฟฟ้าต้องมีการลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตใหม่ทั้งฟอสซิล ซึ่งจะใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นหลัก และพลังงานทดแทน ไม่น้อยกว่า 700 เมกะวัตต์ ในประเทศเป้าหมาย ได้แก่ประเทศไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และออสเตรเลีย ส่วนธุรกิจ Non-Power บริษัทฯ มีแผนที่จะพัฒนาธุรกิจด้านพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทย การผลิตไฮโดรเจนสีเขียว ในประเทศพัฒนาแล้ว ได้แก่ กลุ่มประเทศยุโรปออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และขยายฐานธุรกิจด้านสุขภาพเพิ่มขึ้น” นางสาวชูศรี กล่าว