บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ทุ่ม 35,000 ล้านบาท ลงทุนปี 2566 เพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าไม่ต่ำกว่า 500 เมกะวัตต์ พร้อมเผยมีโรงไฟฟ้าที่จะทยอย COD ปี 2566 นี้ 1,207.13 เมกะวัตต์ ดัน EBITDA ทะลุ 12,000 ล้านบาทและเป็น 15,000 ล้านบาท ในปี 2570
นางสาวชูศรี เกียรติขจรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯได้จัดเตรียมงบประมาณสำหรับการลงทุนในปี 2566 จำนวน 35,000 ล้านบาท โดยจะใช้ขยายการลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้าจำนวน 29,000 ล้านบาท และธุรกิจนอกภาคไฟฟ้า (Non-Power Business) อีก 6,000 ล้านบาท บริษัทฯ คาดว่า ผลการดำเนินงานในปี 2566 จะเติบโตดีขึ้น โดยบริษัทฯ มีเป้าหมาย EBITDA ไม่น้อยกว่า 12,000 ล้านบาท
ทั้งนี้คาดว่าในปี 2566 นี้จะมีกำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 500 เมกะวัตต์ ในพอร์ตของ บริษัทร่วมทุน เน็กส์ซิฟราช เอ็นเนอร์จี อินเวสเมนท์ (NREI) ซึ่งจะใช้เป็นกลไกในการเดินหน้าโครงการโรงไฟฟ้าที่มีอยู่แล้วในประเทศออสเตรเลีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ จำนวน 8 โครงการ กำลังการผลิตรวมประมาณ 843 เมกะวัตต์ ให้สามารถดำเนินการเชิงพาณิชย์ให้ได้ตามเป้าหมาย ตามแผนกำลังการผลิตของบริษัทฯ จะมีกำลังผลิตเชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้นในปี 2567 รวม 518.66 เมกะวัตต์ ปี 2568 เพิ่มขึ้นอีก 918.20 เมกะวัตต์ ปี 2570 และ ปี 2573 เพิ่มขึ้นอีก 252.77 เมกะวัตต์ และ 213 เมกะวัตต์ ตามลำดับ
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมองหาโอกาสขยายการลงทุนในเวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ซึ่งมีแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะโครงการพลังงานทดแทน และเชื้อเพลิงไฮโดรเจน ซึ่งในส่วนนี้จะมีทั้งโครงการที่เข้าซื้อกิจการหรือควบรวม(M&A)ในเวียดนามและฟิลิปปินส์ และโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง โดยในเวียดนาม มีดีลเจรจาโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนขนาด 300-500 เมกะวัตต์ เป็นโครงการที่ COD แล้ว คาดว่าจะปิดดีลได้ภายในปีนี้ รวมถึงบริษัทฯ ยังสนใจเข้าร่วมประมูลแข่งขันโครงการ GAS to Power ในเวียดนาม ขนาดกำลังการผลิต 1,500 เมกะวัตต์ ซึ่งจะเป็นการร่วมทุนกับพันธมิตรท้องถิ่นในเวียดนาม โดยเบื้องต้นบริษัทฯจะดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้า และให้พันธมิตรเป็นผู้จัดหาและนำเข้า LNG แต่ทั้งนี้โครงการดังกล่าว ยังต้องรอความชัดเจนจากการประกาศแผน PDP 8 ของเวียดนาม
ขณะที่ฟิลิปปินส์ ก็มีบางโครงการที่น่าสนใจและปัจจุบันการเมืองในฟิลิปปินส์มีเสถียรภาพมากขึ้น รวมถึงออสเตรเลียก็มีความสนใจเรื่องการลงทุนโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงไฮโดรเจน ในออสเตรเลีย ที่ปัจจุบันมีการศึกษาไปถึงขั้นดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้แล้ว
อีกทั้งบริษัทฯ ยังรอลุ้นผลการยื่นเสนอโครงการซื้อขายไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.) ที่ผ่านการคัดเลือกแล้ว 420 เมกะวัตต์ จำนวน 8 โครงการ คาดว่าจะได้รับการอนุมัติให้สิทธิ์เข้าลงทุนได้เร็วๆนี้
ส่วนกลุ่มธุรกิจ Non-power จะมุ่งเน้นที่ธุรกิจบริการสุขภาพโดยยังคงจับมือกับกลุ่ม PRINC ด้านนวัตกรรมยังดำเนินการผ่านบริษัท อินโนพาวเวอร์ จำกัด อีกทั้งยังมีการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนากรีนไฮโดรเจน โดยมีแผนจะดำเนินการนำร่องในออสเตรเลียเป็นแห่งแรก
สำหรับ โครงการที่บริษัทฯ จะรับรู้รายได้ในปี 2566 นี้ จากโครงการที่จะทยอย COD เข้ามาประมาณ 1,207.13 เมกะวัตต์ ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าราช เอ็นเนอร์จี ระยอง จำนวน 49.98 เมกะวัตต์,โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติสแน็ปเปอร์ พ้อยท์ จำนวน 154 เมกะวัตต์,โรงไฟฟ้าพลังงานลม ลินคอล์น แก็ป 1&2 ในออสเตรเลีย จำนวน 212 เมกะวัตต์ ,โรงไฟฟ้าพลังน้ำค๊อดซาน จำนวน 17.37 เมกะวัตต์ ,ซองเกียง 2 จำนวน 17.10 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าพลังงานลมอีโค่วินในเวียดนาม จำนวน 15 เมกกะวัตต์ สำหรับการเข้าซื้อหุ้นโรงไฟฟ้าพลังความร้อนไพตัน ในอินโดนีเซีย บริษัทฯ คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 2 ปีนี้ จำนวน 741.52 เมกะวัตต์
นางสาวชูศรี กล่าวอีกว่า บริษัทฯ ยังวางแผนกลยุทธ์ธุรกิจในปี 2566-2570 ภายใต้วงเงินงบประมาณ 70,000 -100,000 ล้านบาท ซึ่งมุ่งเน้นเป้าหมาย 4 ด้าน ได้แก่ (1) การเติบโตของผลตอบแทน โดยตั้งเป้าหมาย EBITDA เติบโตจาก 12,000 ล้านบาทในปีนี้ เป็น 15,000 ล้านบาทในปี 2570 (2) การขยายธุรกิจ Non-Power กำหนดเงินลงทุนไม่น้อยกว่า 5% ในปีนี้ และปี 2570 ธุรกิจนี้จะสร้างรายได้เข้ามาเสริมให้บริษัทฯ 5% (3) เพิ่มสัดส่วนพลังงานทดแทน ให้ได้ 20% ของกำลังการผลิตรวม และเพิ่มขึ้นมาเป็น 25% ตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป (4) พัฒนาการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาลให้ทัดเทียมกับมาตรฐานสากล และเตรียมความพร้อมสำหรับการประกาศความมุ่งมั่นสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2570
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังจะดำเนินการแผนกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้มีความก้าวหน้าและบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ ในปีนี้ บริษัทฯ มีเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตให้ได้ 30,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า เพิ่มกำลังการผลิตจากพลังงานทดแทนให้ถึง 20% และพัฒนาคาร์บอนเครดิตจากป่าชุมชนอีก 10,000 ไร่ โดยบริษัทฯ จะได้เข้าร่วมในโครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์