รัฐบาลเตรียมวงเงินอีก 4.5 หมื่นล้านบาทออกแพกเกจดูแลราคาพลังงานต่อเนื่องอีก 3 เดือน (เม.ย.-มิ.ย.2565) เน้นกลุ่มผู้ใช้ดีเซลยกเว้นดีเซลพรีเมี่ยม กลุ่มผู้ใช้ก๊าซหุงต้มที่ยังได้รับการอุดหนุนราคาแม้จะมีการปรับราคาขึ้นบางส่วน กลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ กลุ่มมอเตอร์ไซด์รับจ้าง กลุ่มแท็กซี่ และกลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน โดยใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบกลางจากสำนักงบประมาณ การลดภาษีสรรพสามิตและ จาก ปตท. เข้ามาสนับสนุน ระบุ 2 ปีที่ผ่านมาช่วยพยุงราคาพลังงานรวมแล้วกว่า 1.6 แสนล้านบาท วอนประชาชนช่วยประหยัดพลังงานเพื่อให้ประเทศผ่านพ้นช่วงวิกฤติซ้อนวิกฤติในครั้งนี้
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า หลังจากรัฐบาลได้มอบหมายให้ 3 หน่วยงาน คือธนาคารแห่งประเทศไทย, สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ติดตามสถานการณ์ราคาพลังงานที่ได้รับผลกระทบจากปัญหารัสเซียบุกยูเครนและการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 อย่างใกล้ชิด โดยทั้ง 3 หน่วยงานคาดว่าสถานการณ์สู้รบจะยืดเยื้อต่อไป และคาดว่าอีก 3 เดือน (เม.ย.-มิ.ย.2565) จะมีความชัดเจนต่อสถานการณ์มากขึ้น
ดังนั้นรัฐบาลจะขอรอดูสถานการณ์ราคาพลังงานอีก 3 เดือน โดยออกมาตรการช่วยเหลือด้านพลังงานให้ประชาชนต่ออีก 3 เดือน โดยเตรียมงบอีก 43,602-45,102 ล้านบาท เพื่อดูแลราคาพลังงานทั้งด้านราคาดีเซล ราคาน้ำมันเบนซินกลุ่มวินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ราคาก๊าซหุงต้ม(LPG) ราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์(NGV)และค่าไฟฟ้า โดยงบดังกล่าวเพิ่มเติมจากงบ 1.6 แสนล้านบาท ที่ได้ใช้ดูแลราคาพลังงานให้ประชาชน มาตลอด 2 ปีที่ผ่านมา (ตั้งแต่ มี.ค. 2563- มี.ค. 2565) ซึ่งหากรวมทั้งหมดจะเป็นเงินที่รัฐบาลใช้ดูแลราคาพลังงานนับตั้งแต่เดือน มี.ค. 2563 ไปจนถึงเดือน มิ.ย. 2565 จำนวน 2.1 แสนล้านบาท
อย่างไรก็ตามขอให้ประชาชนช่วยกันประหยัดการใช้พลังงาน ซึ่งหากทุกคนช่วยกันจะทำให้ประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤติซ้อนวิกฤติในครั้งนี้ไปได้
นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า มาตรการดูแลราคาพลังงานที่จะดำเนินการใน 3-4 เดือนจากนี้ ได้แก่ 1.ตรึงราคาดีเซลไว้ที่ 30 บาทต่อลิตร จนถึง 30 เม.ย. 2565 หลังจากนั้นหากราคาน้ำมันโลกยังสูงต่อเนื่องและทำให้ราคาดีเซลเกิน 30 บาทต่อลิตร ส่วนที่เกิน 30 บาทนั้นภาครัฐจะช่วยเหลือครึ่งราคา เช่น หากราคาน้ำมันดีเซลขึ้นมาอยู่ที่ 38 บาทต่อลิตร ภาครัฐจะช่วยครึ่งหนึ่งคือ 4 บาทต่อลิตร ทำให้ประชาชนจ่ายค่าดีเซลที่ 34 บาทต่อลิตร เป็นต้น คาดว่าจะใช้เงินดูแลราคาดังกล่าวประมาณ 33,140 ล้านบาท
นอกจากนี้จะยกเลิกการชดเชยราคาน้ำมันดีเซลกลุ่มพรีเมียม เนื่องจากไม่เป็นกลุ่มเป้าหมายที่ควรได้รับการช่วยเหลือ ดังนั้นกลุ่มนี้จะต้องกลับไปใช้ราคาน้ำมันดีเซลตามราคาตลาดโลกที่แท้จริง ซึ่งกลุ่มนี้มีปริมาณการใช้ดีเซลอยู่ 1.4 ล้านลิตรต่อวัน ขณะที่ปริมาณการใช้ดีเซลทั้งประเทศอยู่ที่ 65 ล้านลิตรต่อวัน
- ปรับขึ้นราคา LPG เดือนละ 1 บาทต่อกิโลกรัม (15 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม) ระหว่างเดือน เม.ย.-พ.ค.-มิ.ย. 2565 โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2565 นี้ ซึ่งจะทำให้ราคาจำหน่าย LPG เดือน เม.ย.อยู่ที่ 333 บาทต่อกิโลกรัม, เดือน พ.ค. อยู่ที่ 348 บาทต่อกิโลกรัม และเดือน มิ.ย. 2565 อยู่ที่ 363 บาทต่อกิโลกรัม จากปัจจุบันยังตรึงราคาไว้ที่ 318 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม
แม้จะปรับขึ้นราคาดังกล่าวแต่กองทุนน้ำมันฯ ในส่วนของบัญชี LPG ก็ยังช่วยพยุงราคาจำหน่ายไว้กว่า 100 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม เนื่องจากราคาตลาดโลกที่แท้จริงอยู่ที่ 463 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้เงินดูแลราคาส่วนต่างดังกล่าวประมาณ 6,380 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามภาครัฐยังคงให้การช่วยเหลือกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ให้ซื้อ LPG ราคาถูกต่อไป โดยเพิ่มวงเงินในบัตรฯ เพื่อใช้เป็นส่วนลดซื้อ LPG อีก 55 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม ต่อ 3 เดือน จากเดิมมีวงเงินอยู่ 45 บาทต่อถังต่อ 3 เดือน ดังนั้นผู้ถือบัตรฯ จะได้รับการช่วยเหลือมากขึ้นรวมเป็น 100 บาทต่อถังต่อ 3 เดือนแทน โดยคาดว่าต้องใช้งบดูแลในส่วนนี้ประมาณ 200 ล้านบาท
ขณะที่บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ก็ให้การช่วยเหลือกลุ่มหาบเร่แผงลอยที่ลงทะเบียนไว้กับ ปตท. โดยให้ส่วนลดไม่เกิน 100 บาทต่อรายต่อเดือน เป็นเวลา 3 เดือน (เม.ย.-มิ.ย. 2565) ซึ่งกลุ่มนี้มีประมาณ 5,500 คนต่อเดือน ซึ่ง ปตท.จะใช้งบดูแลส่วนนี้ประมาณ 1.65 ล้านบาท
3.มาตรการช่วยเหลือราคาก๊าซ NGV ให้ตรึงราคาไว้ที่ 15.59 บาทต่อกิโลกรัม 3 เดือน (เม.ย.-มิ.ย. 2565) มีผู้ใช้ประมาณ 3.18 แสนราย และ ปตท.ยังช่วยเหลือราคา NGV กลุ่มแท็กซี่ในโครงการลมหายใจเดียวกัน ให้ซื้อได้ในราคา 13.62 บาทต่อกิโลกรัม โดยมีผู้ได้รับการช่วยเหลือประมาณ 1.74 หมื่นราย ซึ่งมาตรการนี้ ปตท.จะเป็นผู้แบกรับภาระเองทั้งหมดประมาณ 1,761 ล้านบาท
4.การช่วยเหลือกลุ่มวินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง โดยให้ส่วนลดเติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 5 บาทต่อลิตร จำนวน 50 ลิตรต่อเดือน เป็นเวลา 3 เดือน(เม.ย.-มิ.ย. 2565) รวมเป็นเงิน 120 ล้านบาทที่ภาครัฐต้องเข้ามาดูแล
และ 5. การดูแลค่าไฟฟ้าประชาชน สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน (งวดเดือน พ.ค.-ส.ค.2565 ) ให้ใช้อัตราค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ(Ft) 1.39 สตางค์ต่อหน่วย หรือค่าไฟฟ้า 3.78 บาทต่อหน่วย เหมือนงวดเดือน ม.ค.-เม.ย. 2565 เนื่องจากค่าไฟฟ้าที่แท้จริงงวดเดือน พ.ค.-ส.ค. 2565 กำหนดค่า Ft ไว้ที่ 24.77 สตางค์ต่อหน่วย หรือคิดเป็นค่าไฟฟ้ารวม 4 บาทต่อหน่วย ซึ่งกลุ่มนี้คาดว่าจะมีประมาณ 20 ล้านรายทั่วประเทศ คาดว่าต้องใช้งบประมาณดูแลค่าไฟฟ้าดังกล่าวประมาณ 2-3.5 พันล้านบาท
อย่างไรก็ตามกระทรวงพลังงานพยายามดูแลค่าไฟฟ้าให้ประชาชนอย่างเต็มที่ และคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.) ได้บริหารค่าไฟฟ้าเพื่อไม่ให้ราคาสูงเกินไป โดยหากไม่ดำเนินการใดๆ เลย ค่าไฟฟ้าที่แท้จริงงวดเดือน พ.ค.-ส.ค. 2565 จะมีค่า Ft สูงถึง 1.29 บาทต่อหน่วย และทำให้ค่าไฟฟ้าแท้จริงอยู่ที่ 5.07 บาทต่อหน่วยไปแล้ว