กระทรวงพลังงาน เล็งไม่ขยายเวลาบังคับใช้ “มาตรการยกเลิกชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพ” รอบ 2 หลัง 24 ก.ย. 2567 ส่งผลให้ราคาน้ำมันต้องเป็นไปตามกลไกตลาดโลก ห้ามนำเงินกองทุนน้ำมันฯ ไปชดเชยราคา ขณะที่การจำหน่ายน้ำมันในไทยจะเหลือเพียง เบนซิน (ไม่ผสมเอทานอล) และแก๊สโซฮอล์95 เป็นหลัก ขณะที่ดีเซลจะเหลือเพียง ดีเซล (ไม่ผสมน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ B100) และไบโอดีเซล B7 เป็นหลัก โดยไม่มีการชดเชยราคาทั้งสิ้น
ผู้สื่อข่าวศูนย์ข่าวพลังงาน (Energy News Center – ENC) รายงานว่า กระทรวงพลังงานได้เสนอ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ให้ยกเลิกการชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพ ทั้งการชดเชยราคาน้ำมันกลุ่มเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ และกลุ่มน้ำมันดีเซลทุกชนิด เพื่อให้เป็นไปตาม พ.ร.บ.กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562
โดยล่าสุดกระทรวงพลังงานมีแนวโน้มที่จะยกเลิกชดเชยราคาหลัง 24 ก.ย. 2567 นี้ ซึ่งจะส่งผลให้การจำหน่ายน้ำมันในสถานีบริการน้ำมันของไทยเปลี่ยนแปลงไปดังนี้ 1. กลุ่มน้ำมันเบนซิน จะเหลือการจำหน่ายเพียง 2 ชนิดเป็นหลัก ได้แก่ น้ำมันเบนซินที่ไม่มีการผสมเอทานอลเลย ซึ่งราคาจำหน่ายจะเป็นไปตามกลไกตลาดโลกเป็นหลัก และน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 หรือน้ำมันเบนซินที่ผสมเอทานอล 10% ในทุกลิตร ที่ราคาจะเปลี่ยนแปลงไปตามราคาน้ำมันโลกและราคาเอทานอล โดยจะไม่มีการนำเงินกองทุนฯ ไปชดเชยราคาอีก
2. กลุ่มน้ำมันดีเซล จะเหลือการจำหน่ายเพียง 2 ชนิดเป็นหลัก คือ น้ำมันดีเซล ที่ไม่ผสมน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ (B100) เลย หรือเรียกว่า ดีเซล Bศูนย์ ซึ่งราคาจำหน่ายจะเป็นไปตามกลไกตลาดโลก และไบโอดีเซล B7 หรือน้ำมันดีเซลที่มีส่วนผสมของ B100 ในสัดส่วน 7% ทุกลิตร โดยราคาจำหน่ายก็จะเป็นไปตามกลไกตลาดโลกและราคา B100 ซึ่งจะไม่มีการนำเงินกองทุนน้ำมันฯ ไปชดเชยราคาอีกต่อไปเช่นกัน
อย่างไรก็ตามปัจจุบันราคาน้ำมันกลุ่มเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ เป็นราคาตามกลไกตลาดโลกและต้นทุนของเอทานอลอยู่แล้ว โดยกองทุนน้ำมันฯ ไม่ได้นำเงินไปช่วยชดเชยราคาแต่อย่างใด และยังเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้น้ำมันส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ อีกด้วย
โดยอัตราเรียกเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับผู้ใช้น้ำมันเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ เป็นดังนี้ น้ำมันเบนซินออกเทน 95 เรียกเก็บ 9.38 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์95 เรียกเก็บ 2.80 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์91 เรียกเก็บ 1.45 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์E20 เรียกเก็บ 0.81 บาทต่อลิตร และน้ำมันแก๊สโซฮอล์E85 เรียกเก็บ 0.16 บาทต่อลิตร
ส่วนกลุ่มน้ำมันดีเซลนั้น ปัจจุบันกองทุนฯ ยังต้องนำเงินไปช่วยชดเชยราคาอยู่ 3.49 บาทต่อลิตร เพื่อไม่ให้ราคาจำหน่ายเกิน 30 บาทต่อลิตร
สำหรับ พ.ร.บ.กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 กำหนดให้กองทุนน้ำมันฯ ต้องเลิกชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพมาตั้งแต่ 24 ก.ย. 2565 แต่ยังเปิดโอกาสให้สามารถขอขยายเวลาได้ 2 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 2 ปี ซึ่งที่ผ่านมาสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) ได้ขอ ครม. ขยายเวลาไปแล้ว 1 ครั้ง เพื่อให้สามารถนำเงินกองทุนน้ำมันฯ ไปชดเชยราคาดีเซลและแก๊สโซฮอล์ได้ต่อเนื่อง ดังนั้นในวันที่ 24 ก.ย. 2567 นี้ จะเป็นวันสุดท้ายที่จะนำเงินกองทุนฯ ไปชดเชยราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์และดีเซลได้
แต่หากกระทรวงพลังงานเปลี่ยนใจ จะขอขยายเวลาการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวออกไปอีก 1 ครั้ง เป็นเวลา 2 ปี จะส่งผลให้สามารถนำเงินกองทุนฯ ไปชดเชยราคาดีเซลและแก๊สโซฮอล์ได้เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะต้องยกเลิกการชดเชยราคาอย่างถาวรจริงในวันที่ 24 ก.ย. 2569
ส่วนฐานะกองทุนน้ำมันฯ ล่าสุดที่รายงานโดย สกนช. ณ วันที่ 7 ม.ค. 2567 พบว่ากองทุนฯ ยังคงติดลบอยู่ที่ -80,101 ล้านบาท ซึ่งเกิดจากการนำเงินไปอุดหนุนราคาดีเซล ส่งผลให้บัญชีน้ำมันติดลบรวม -33,984 ล้านบาท และอุดหนุนราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) ทำให้บัญชี LPG ติดลบรวม -46,117 ล้านบาท
ทั้งนี้เบื้องต้นกระทรวงพลังงานมีนโยบายจะไม่ขอต่ออายุรอบ 2 โดยจะยกเลิกการชดเชยราคาเชื้อเพลิงชีวภาพภายใน 24 ก.ย. 2567 เลย แต่อย่างไรก็ตามยังต้องรอความชัดเจนจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานอีกครั้ง ซึ่งจะมีการแถลงผลการดำเนินงานในปี 2566 และแนวทางการบริหารงานในปี 2567 ในวันที่ 12 ม.ค. 2567 นี้ต่อไป