รัฐมนตรีพลังงาน สั่งการให้สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ศึกษาการแก้กฎหมายกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ให้รองรับกับยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ในอนาคต ด้าน สกนช.เตรียมเสนอแผนปรับบทบาทกองทุนฯ รอบ 5 ปี เปิดช่องให้มีภารกิจครอบคลุมทั้งน้ำมันและยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคต
แหล่งข่าวกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้สั่งการให้สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ไปศึกษาการแก้กฎหมายกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้สอดรับมติ
คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 4 ส.ค. 2564 ที่ได้เห็นชอบแผนด้านยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle: EV) ตามกรอบแผนพลังงานแห่งชาติ โดยจะส่งเสริมให้มีรถ EV ในประเทศ 30%ภายในปี 2573
เนื่องจากปัจจุบันกองทุนฯมีวัตถุประสงค์การใช้เงินเพื่อดูแลราคาน้ำมันให้มีเสถียรภาพ ไม่ผันผวน รองรับวิกฤติราคาน้ำมัน แต่ในอนาคตทิศทางพลังงานของไทยกำลังจะปรับเปลี่ยนไปสู่การใช้รถ EV ดังนั้นกองทุนฯ จึงจะต้องปรับวัตถุประสงค์การใช้เงินจากการดูแลราคาน้ำมันมาดูแลเกี่ยวกับรถ EV ด้วย
โดยในอนาคตหากรถยนต์ไฟฟ้ามาทดแทนรถยนต์ที่ใช้น้ำมันและไม่มีการแก้ไขกฏหมายกองทุนน้ำมันให้รองรับก็มีความเป็นไปได้ที่ต้องยกเลิกกองทุนน้ำมันฯ หรือต้องโอนให้กองทุนน้ำมันฯไปรวมอยู่ภายใต้การดูแลของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เพื่อให้มีการจัดเก็บเงินมาใช้ดูแลด้านความปลอดภัยในการใช้รถ EV การอบรมให้ความรู้ และการอำนวยความสะดวกต่างๆ เกี่ยวกับธุรกิจรถ EV เป็นต้น
จากเดิมที่จัดเก็บเงินจากผู้ใช้น้ำมันก็จะเปลี่ยนไปเก็บกับผู้เติมไฟฟ้าจากสถานีอัดประจุไฟฟ้า เป็นต้น
อย่างไรก็ตามคาดว่า สกนช.จะจัดทำแผนการปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ 5 ปี (พ.ศ.2566-2570) เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) พิจารณาต่อไป ซึ่งการจัดทำแผนบทบาทกองทุนน้ำมันฯ นั้น ทาง สกนช.อาจเสนอให้ปรับเปลี่ยนนิยามจากการดูแลด้านน้ำมันเชื้อเพลิงให้ครอบคลุมถึงเซลล์ไฟฟ้าด้วย
ส่วนทิศทางการใช้น้ำมันสำหรับรถยนต์ในอนาคต จะต้องค่อยๆ ทยอยยกเลิกชนิดน้ำมันให้เหลือเพียงชนิดเดียวของแต่ละประเภท เช่น กลุ่มเบนซินให้เหลือเพียงแก๊สโซฮอล์ E20 และกลุ่มดีเซลให้เหลือเพียงน้ำมันดีเซล (ไบโอดีเซลB10) และน้ำมันเครื่องบิน ซึ่งยังเหลือเวลาอีกหลายปีเพื่อดูทิศทางของผู้ใช้น้ำมันว่าจะเปลี่ยนไปสู่รถ EV ถึง 30% ได้ตามกำหนดปี 2573 หรือไม่ ซึ่งอาจจะเร็วหรือช้ากว่าก็เป็นไปได้ ขึ้นอยู่กับราคารถ EV และเทคโนโลยีแบตเตอรี่ เป็นต้น ดังนั้นแผนบทบาทกองทุนน้ำมันฯจะต้องปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งขณะนี้ยังต้องดูแลราคาน้ำมันไม่ให้ผันผวนต่อไปก่อน
สำหรับสถานะกองทุนน้ำมันฯ ปัจจุบันเหลือเงินสุทธิ 14,000 ล้านบาท และจะใช้ได้อีกเพียง 9 เดือนเงินก็จะหมดลง เนื่องจากมีภาระต้องชดเชยราคาพลังงานทดแทน และราคาก๊าซหุงต้ม(LPG) เดือนละ 1,600 ล้านบาท ซึ่งล่าสุดบอร์ด กบน. สั่งการให้ สกนช.ไปพิจารณาแนวทางกู้เงิน 20,000 ล้านบาทแล้ว ขณะที่เงินดูแลราคา LPG ถูกใช้ไปแล้วกว่า 15,000 ล้านบาท จากกรอบวงเงิน 18,000 ล้านบาท ซึ่งในวันที่ 30 ก.ย. 2564 จะหมดอายุมาตรการช่วยเหลือราคา LPG ให้ประชาชนซื้อได้ในราคาถูกที่ 318 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม และคาดว่าสิ้นเดือน ก.ย. 2564 จะมีการใช้เงินเต็มกรอบวงเงิน 18,000 ล้านบาท ดังนั้นต้องรอดูว่าคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) จะมีมติให้ตรึงราคาต่อหรือปรับเปลี่ยนแนวทางอย่างไร จากนั้นจะต้องประชุม กบน. เพื่อหาแนวทางเตรียมเงินมารองรับต่อไป