พลังงาน เปิดเวทีวันแรก รับฟังความเห็น “ร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2567-2580 (PDP 2024)” และ “ร่างแผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ พ.ศ. 2567-2580 (Gas Plan 2024) เผยแผน PDP 2024 ต้องเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่อีก 47,251 เมกะวัตต์ และการผลิตไฟฟ้าสำรอง 12,957 เมกะวัตต์ เบื้องต้นการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) มีโอกาสสร้างโรงไฟฟ้าใหม่รวม 6,572 เมกะวัตต์ ส่วนโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนใหม่ 34,851 เมกะวัตต์ ทาง กฟผ. ได้รับแค่โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบทุ่นลอยน้ำ 2,681 เมกะวัตต์เท่านั้น ชี้ค่าไฟฟ้าตลอดแผนลดลงเหลือ 3.8704 บาทต่อหน่วย ปลัดพลังงาน ยืนยัน ยังไม่ตัดโรงไฟฟ้าสุราษฎร์ธานี ขนาด 1,400 เมกะวัตต์ แต่อยู่ระหว่างการพิจารณาหลายแนวทาง
วันที่ 12 มิ.ย. 2567 กระทรวงพลังงานได้เปิดรับฟังความเห็นกลุ่มราชการและรัฐวิสาหกิจต่อ “ร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2567-2580 (PDP 2024)” และ “ร่างแผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ พ.ศ. 2567-2580 (Gas Plan 2024) ซึ่งเป็นการเปิดเวทีรับฟังความเห็นทั้ง 2 แผนดังกล่าวเป็นครั้งแรก
โดยสาระสำคัญของแผน PDP 2024 ได้พยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของประเทศช่วงปลายแผนในปี 2580 อยู่ที่ 56,133 เมกะวัตต์ ซึ่งปัจจุบันมีกำลังผลิตไฟฟ้าตามสัญญา (ณ เดือน ธ.ค. 2566) อยู่ที่ 53,868 เมกะวัตต์ แต่ในช่วงระยะยาวจะมีโรงไฟฟ้าที่หมดอายุและปลดออกจากระบบจำนวน 18,884 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทำให้ไฟฟ้าในระบบเหลือเพียง 34,984 เมกะวัตต์ ดังนั้นเพื่อให้การผลิตไฟฟ้าเพียงพอต่อความต้องการใช้ กระทรวงพลังงานจึงได้วางแผนจัดหาไฟฟ้าใหม่ในแผน PDP 2024 มารองรับอีก 77,407 เมกะวัตต์ และจะทำให้ไทยมีกำลังผลิตไฟฟ้าตามสัญญาทั้งสิ้น 112,391 เมกะวัตต์ ในช่วงปลายแผนปี 2580
สำหรับกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่ 77,407 เมกะวัตต์ จะมาจาก 3 ส่วน ได้แก่ 1.กำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่ 47,251 เมกะวัตต์ แบ่งเป็น โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 34,851 เมกะวัตต์ , โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม 6,300 เมกะวัตต์ ,โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) 600 เมกะวัตต์ ,การรับซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ 3,500 เมกะวัตต์ และอื่นๆ (DR, V2G) 2,000 เมกะวัตต์
2.กำลังการผลิตไฟฟ้าสำรอง 12,957 เมกะวัตต์ ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ 2,472 เมกะวัตต์ และระบบกักเก็บพลังงานแบบแบตเตอรี่ 10,485 เมกะวัตต์ และ 3.มาจากโรงไฟฟ้าที่มีสัญญาข้อผูกพันไปแล้ว 17,199 เมกะวัตต์
ทั้งนี้เมื่อแยกย่อยมาดูในส่วนของพลังงานหมุนเวียนที่จะมีกำลังการผลิตใหม่ 34,851 เมกะวัตต์ จะมาจากพลังงานแสงอาทิตย์ 24,412 เมกะวัตต์ ,พลังงานลม 5,345 เมกะวัตต์ ,ชีวมวล 1,045 เมกะวัตต์ ,ก๊าซชีวภาพ 936 เมกะวัตต์ ,พลังงานแสงอาทิตย์แบบทุ่นลอยน้ำ 2,681 เมกะวัตต์, ขยะอุตสาหกรรม 12 เมกะวัตต์ ,ขยะชุมชน 300 เมกะวัตต์ ,พลังน้ำขนาดเล็ก 99 เมกะวัตต์ และความร้อนใต้พิภพ 21 เมกะวัตต์ โดยรวมคิดเป็น 51% ของกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากแผนเดิม PDP 2018 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 ที่มีสัดส่วนพลังงานทดแทนเพียง 36%
สำหรับในส่วนของค่าไฟฟ้าเฉลี่ยตลอดแผน PDP2024 จะอยู่ที่ 3.8704 บาทต่อหน่วย ซึ่งต่ำกว่าแผนเดิม PDP2018 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 (หากใช้สมมติฐานเดียวกันมาคำนวณ) ค่าไฟฟ้าจะสูงกว่าอยู่ที่ 3.9479 บาทต่อหน่วย
นายวีรพัฒน์ เกียรติเฟื่องฟู ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวว่า แผน PDP 2024 ในส่วนของพลังงานทดแทน 34,851 เมกะวัตต์ จะมีปริมาณการผลิตไฟฟ้าที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จะเป็นผู้ผลิตคือ การผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบทุ่นลอยน้ำ 2,681 เมกะวัตต์ แต่ในอนาคตหากการผลิตไฟฟ้าแบบทุ่นลอยน้ำมีศักยภาพในการผลิตมากขึ้น อาจขยับสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่กำหนดไว้ 24,412 เมกะวัตต์ มาให้พลังงานแสงอาทิตย์แบบทุ่นลอยน้ำแทนก็ได้
สำหรับโรงไฟฟ้าใหม่ปี 2567-2580 ที่ กฟผ.จะเป็นผู้ดำเนินการ ได้แก่ โรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ชุดที่ 3 ขนาด 700 เมกะวัตต์ ในปี 2571,โรงไฟฟ้าพระนครใต้ ชุดที่ 5 ขนาด 700 เมกะวัตต์ ในปี 2573, โรงไฟฟ้าจะนะ ชุดที่ 3 ขนาด 700 เมกะวัตต์ ปี 2577, โรงไฟฟ้าพระนครใต้ชุดที่ 6 ขนาด 700 เมกะวัตต์ ปี 2578, โรงไฟฟ้าพระนครเหนือชุดที่ 4 ขนาด 700 เมกะวัตต์ ในปี 2579
นอกจากนี้ยังมีโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ เขื่อนจุฬาภรณ์ 801 เมกะวัตต์ ปี 2577, โรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ เขื่อนวชิราลงกรณ 891 เมกะวัตต์ ปี 2579 และโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ เขื่อนกระทูน 780 เมกะวัตต์ ปี 2580 รวมทั้งในส่วนของโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) รวม 600 เมกะวัตต์ ในปี 2580 ที่มีแนวโน้มว่า กฟผ.จะเป็นผู้ดำเนินการผลิตด้วย เนื่องจากมีศักยภาพที่สามารถทำได้ ซึ่งรวมแล้ว กฟผ. จะได้ดำเนินการผลิตไฟฟ้าสำหรับโรงไฟฟ้าใหม่ ปี 2567-2580 รวมประมาณ 6,572 เมกะวัตต์
สำหรับในส่วนของโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม โรงใหม่ตามแผน PDP 2024 จะมีทั้งสิ้น 2,800 เมกะวัตต์ ซึ่งมีโอกาสทั้งภาคเอกชน หรือ กฟผ. จะดำเนินการผลิตได้ ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับนโยบายรัฐบาลเป็นหลัก เช่นเดียวกับการผลิตไฟฟ้า Battery Energy Storage System (BESS) หรือระบบกักเก็บพลังงาน รวม 10,485 เมกะวัตต์ ก็ขึ้นกับนโยบายรัฐบาลเช่นกันว่าจะให้ใครเป็นผู้ผลิต
ส่วนด้านแผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ พ.ศ. 2567-2580 (Gas Plan 2024) สาระสำคัญระบุว่า ความต้องการก๊าซธรรมชาติในช่วงปี 2567-2580 จะอยู่ที่ 4,700-4,800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน โดยจะมีการจัดหาก๊าซฯจากแหล่งที่มีศักยภาพในอ่าวไทยและเมียนมาเพิ่มขึ้น ทำให้การนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ลดลง ทั้งนี้ไม่ได้นำก๊าซฯ จากพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา (OCA) มาพิจารณา เนื่องจากยังไม่มีความชัดเจน ส่วนโครงสร้างพื้นฐานก๊าซฯ ยังสามารถรองรับก๊าซฯ ในปัจจุบันได้เพียงพอ แต่ในอนาคตต้องมีการพิจารณาโครงสร้างพื้นฐานก๊าซฯ เพิ่มเติม ทั้งในส่วนของการรองรับการนำเข้า LNG ถังเก็บก๊าซฯ และระบบรับส่งก๊าซฯ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและใช้ในการบริหารจัดการรองรับความต้องการใช้ก๊าซฯ ในการผลิตไฟฟ้าของประเทศในช่วงพีคไฟฟ้า,ใช้เชิงพาณิชย์,ใช้ในอุตสาหกรรม หรือรองรับ Regional LNG Hub
นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ร่างแผนPDP 2024 ยังไม่ได้ตัดแผนการก่อสร้างโรงไฟฟ้าสุราษฎร์ธานี ขนาด 1,400 เมกะวัตต์ ที่ดำเนินโครงการโดย กฟผ. ออกไปจากแผน ถึงแม้ว่าโรงไฟฟ้าดังกล่าวจะไม่ได้ถูกบรรจุไว้ในแผน PDP 2018 และร่างแผนPDP 2024 ก็ตาม แต่จะเห็นได้ว่าในร่างแผน PDP 2024 พื้นที่ภาคใต้ ยังจำเป็นต้องมีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่เพิ่มขึ้นในอนาคต เนื่องจากกำลังการผลิตไฟฟ้าในพื้นที่ไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ จึงได้เปิดโอกาสสำหรับการก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งในส่วนของโรงไฟฟ้าจะนะ(ทดแทน) หรือ โรงไฟฟ้าขนอมส่วนขยาย รวมถึงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม(ก๊าซฯ)แห่งใหม่ ในพื้นที่ภาคใต้ ขนาด 700 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม พื้นที่ภาคตะวันตก อีก 1,400 เมกะวัตต์ แต่การจะตัดสินว่า จำเป็นต้องมีโรงไฟฟ้าสุราษฎร์ธานีเกิดขึ้นหรือไม่นั้น ยังต้องศึกษาความเหมาะสมต่อไป เพราะการก่อสร้างโรงไฟฟ้าสุราษฎร์ธานียังมีข้อจำกัดเรื่องเงินลงทุนที่สูง เพราะต้องมีการก่อสร้างท่อส่งก๊าซฯ ระยะทางยาวกว่า 100 เมตร เพื่อรองรับการจัดส่งก๊าซฯ ป้อนเข้าสู่โรงไฟฟ้า และยังต้องศึกษารายละเอียดให้ชัดเจนว่า จะสร้างคลังรับ-จ่ายก๊าซฯ หรือจะเป็นลักษณะของคลังลอยน้ำ (FSRU) เพราะอาจมีเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตามมาได้
“ภาคใต้ ยังไงก็ต้องมีโรงไฟฟ้าใหม่เกิดขึ้น เพราะยังขาดไฟฟ้าประมาณ 600-700 เมกะวัตต์ และจุดอ่อนคือฝั่งอันดามันไม่มีโรงไฟฟ้า ดังนั้นโรงไฟฟ้าสุราษฎร์ธานี จึงยังไม่ได้ตัดออกไปจากแผนPDP แต่ยังมีจุดอ่อนที่ต้องศึกษาให้รอบคอบ ซึ่งเบื้องต้นมีความเป็นไปได้ใน 3 แนวทาง เช่น 1.อาจเลื่อนการก่อสร้างโรงไฟฟ้าสุราษฎร์ธานีไปอยู่ช่วงปลายแผนPDP 2.เปลี่ยนไปสร้างโรงไฟฟ้าในพื้นที่อื่นแทน และ 3.ดูเทคโนโลยีอื่นๆเพิ่มเติม”