วรภพ -ศุภโชติ สองตัวตึงฝ่ายค้านจากพรรคประชาชนอภิปรายค่าไฟแพง ชี้นายกรัฐมนตรีในฐานะประธาน กพช.ปล่อยให้มีการรับซื้อไฟฟ้าโดยไม่ประมูล เอื้อประโยชน์กลุ่มทุนพลังงาน ในขณะที่แผนพีดีพีล่าช้า พยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้า สูงเกินจริง เปิดช่องเอกชนได้สัมปทานระยะยาว ประชาชนแบกภาระค่าความพร้อมจ่ายสูงลิ่ว ในขณะที่ “พีระพันธุ์”ชี้แจงแทน ยืนยันนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ทำงานโปร่งใส และหนุนแก้ปัญหาต้นตอค่าไฟแพง
ผู้สื่อข่าวศูนย์ข่าวพลังงาน ( Energy News Center-ENC ) รายงานถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2568 ซึ่งเป็นวันแรกของการอภิปราย โดยในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องพลังงานนั้น มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จากพรรคประชาชน ซึ่งเป็นแกนนำพรรคฝ่ายค้านเป็นผู้อภิปรายคือ นายวรภพ วิรยะโรจน์ และ นายศุภโชติ ไชยสัจ ซึ่งเป็น สส.ที่ทำงานติดตามเรื่องปัญหาค่าไฟฟ้าแพงมาอย่างต่อเนื่อง


โดยสรุปสาระสำคัญของการอภิปรายของนายวรภพ ได้ชี้ให้ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ได้เห็นถึงปัญหาค่าไฟแพงที่เป็นภาระต่อค่าครองชีพของประชาชน ว่ามาจาก 2 ปัจจัยคือ 1.ปัจจัยที่รัฐบาลควบคุมไม่ได้ เพราะเกิดจากเชื้อเพลิงที่ใช้ผลิตไฟฟ้า คือ ก๊าซธรรมชาติเหลวหรือ LNG ที่นำเข้ามีราคาสูงขึ้น และ 2. เป็นปัจจัยที่รัฐบาลตั้งใจทำให้แพง โดยนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ หรือ กพช.ซึ่งมีอำนาจในการกำหนดนโยบายด้านพลังงานนั้น เดินหน้าสานต่อนโยบายที่เอื้อให้มีการทุจริตเชิงนโยบายเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนพลังงาน

ทั้งนี้นายวรภพ โชว์ข้อมูลให้เห็นว่าปัญหาค่าไฟแพง เกิดจากการสานต่อนโยบายการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ทั้งในส่วนเฟสแรก 5,200 เมกะวัตต์และเฟสที่สองอีก จำนวน 3,600 เมกะวัตต์ โดยไม่มีการเปิดประมูลให้แข่งขันราคา ทำให้ได้ต้นทุนราคาที่สูง นอกจากนี้ การที่ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ซึ่งเป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์รับซื้อ ไม่มีการประกาศหลักเกณฑ์คำนวณคะแนนด้านเทคนิคต่อสาธารณะ จึงเปิดช่องให้มีการใช้ดุลยพินิจอย่างมหาศาล ที่สามารถเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มทุนที่ต้องการได้ ซึ่งผลก็ปรากฏให้เห็นว่าในการเปิดรับซื้อไฟฟ้าเฟสแรกว่ามีกลุ่มทุนรายใหญ่ได้โครงการตามที่ยื่นเสนอขายไฟฟ้าทั้ง 100% ในขณะที่การเปิดรับซื้อเฟสสอง อีก 3,600 เมกะวัตต์ ก็ยังเดินหน้าซื้อไฟฟ้าด้วยอัตรารับซื้อเท่าเดิม วิธีการเดิมคือไม่มีการประมูลแข่งขันราคา รวมทั้งยังมีการกำหนดหลักเกณฑ์ที่ล็อกโควต้า กีดกันรายใหม่ และปิดปากรายเดิมที่ไม่ได้ขายไฟฟ้าในเฟสแรกแต่จะได้รับสิทธิ์พิจารณาให้ขายไฟฟ้าในเฟสที่สองก่อน หากเป็นผู้ที่ไม่มีเรื่องฟ้องร้องกับรัฐ
นายวรภพ ชี้ให้เห็นด้วยว่า เฉพาะการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 3,600 เมกะวัตต์ ที่ราคารับซื้อเดิม เมื่อปี 2566 ทั้งๆที่ปัจจุบันต้นทุนราคาลดลงมามากนั้น ประชาชนต้องจ่ายค่าไฟฟ้าแพงขึ้นประมาณ 4 พันล้านบาท 1 แสนล้านบาทตลอดอายุสัญญา 25 ปี แต่ยังดีที่โครงการรับซื้อไฟฟ้าดังกล่าวถูกสั่งชะลอการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเอาไว้ก่อน

ในขณะที่สาระสำคัญของนายศุภโชติ ไชยสัจ เน้นไปที่การจัดทำแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ หรือแผนพีดีพี ที่นายกรัฐมนตรีในฐานะเป็นประธาน กพช. ปั้นตัวเลขความต้องการใช้ไฟฟ้าให้สูงเกินจริง เพื่อเปิดช่องให้เอกชนได้สร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มขึ้น โดยถึงแม้ความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจริงจะไม่ได้สูงตามที่คาดการณ์ และเอกชนจะไม่ได้เดินเครื่องโรงไฟฟ้าแต่ก็ยังได้รับค่าความพร้อมจ่ายที่บวกอยู่ในค่าไฟฟ้าของประชาชน ซึ่งปัจจุบันมีต้นทุนค่าความพร้อมจ่ายสูงถึงปีละ 5 หมื่นกว่าล้านบาท
แผนพีดีพี ที่ทำเมื่อปี 2022 แต่ถึงตอนนี้แผนยังไม่เสร็จ ผ่านไป 3 ปี กลับไปเทียบตัวเลขที่คาดการณ์ไว้กับตัวเลขที่เกิดขึ้นจริง พบว่าคาดการณ์ผิดไปถึง 3,000 เมกะวัตต์เทียบได้กับการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ 5 โรง
นายศุภโชติ ระบุถึงแผนพีดีพี ว่าเป็นแผนที่มีความสำคัญเหมือนธรรมนูญทางด้านพลังงาน ที่เปิดช่องให้รัฐบาลใช้เป็นช่องทางที่เอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มทุนพลังงาน ให้ได้สัมปทานผลิตไฟฟ้าในระยะยาว โดยหากเป็นการปล่อยให้เกิดทุจริตเชิงนโยบาย ประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าจะเป็นผู้ที่แบกรับต้นทุนทั้งหมด

ในขณะที่หลังการอภิปรายของนายวรภพ และนายศุภโชติ จบลง นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ลุกขึ้นชี้แจงแทนนายกรัฐมนตรี โดยกล่าวว่า ประเด็นการอภิปรายของทั้งนายวรภพและนายศุภโชติ ได้เคยมีการพูดในสภาผู้แทนราษฎรไปก่อนหน้านี้ และได้ชี้แจงไปแล้ว โดยตัวนายพีระพันธุ์ นั้นเป็นรัฐมนตรีพลังงานที่อยู่ในรัฐบาลนายเศรษฐาและรัฐบาลนางสาวแพทองธาร และเห็นว่านายกรัฐมนตรีในฐานะประธานกพช.ทำงานด้วยความโปร่งใส ไม่ได้ละเลยต่อการแก้ไขปัญหาค่าไฟแพง ตรงกันข้ามยังสนับสนุน ให้ตัวเขาเข้ามาแก้ปัญหาการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 3,600 เมกะวัตต์ ที่ได้มีการสั่งชะลอการเซ็นสัญญาเอาไว้ก่อนเพื่อให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง ในขณะที่การจัดทำแผนพีดีพี ที่ยังไม่จบก็เพราะรัฐบาลชุดไม่ยอมรับกับสิ่งที่ข้าราชการประจำทำการประเมินตัวเลขออกมา พร้อมยืนยันว่าในรัฐบาลชุดนี้ของนางสาวแพทองธาร ยังไม่มีการรับซื้อไฟฟ้าเข้าสู่ระบบเลย จึงไม่ได้มีการเอื้อประโยชน์ต่อนายทุน ตามที่สส.ฝ่ายค้านได้อภิปราย พร้อมยืนยันว่าตัวเขาในฐานะรัฐมนตรีพลังงานที่ได้รับการสนับสนุนจากนายกรัฐมนตรีแพทองธารในการทำงานแก้ไขปัญหาทั้งไฟฟ้าและน้ำมันนั้นกำลังจะเข้าไปแก้ปัญหาทั้งค่าความพร้อมจ่าย และค่าพลังงาน ที่อยู่ในค่าไฟฟ้าตลอดอายุสัมปทาน 25 ปีซึ่งตัวเลขไม่ใช่แค่ 5 หมื่นล้านแต่มันคือตัวเลขล้านล้านบาท

ต่อประเด็นการอภิปรายของฝ่ายค้านว่ารัฐบาลทำให้ค่าไฟแพงเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มทุนและพวกพ้องนั้น นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ลุกชึ้นชี้แจงประเด็นดังกล่าวในแนวทางเดียวกับที่นายพีระพันธุ์ ตอบชี้แจงก่อนหน้านี้ โดยระบุว่ารัฐบาลชุดนี้ยังไม่เคยอนุมัติการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการใดเลย ไม่ทราบว่าฝ่ายค้านเอาผลงานของรัฐบาลชุดใดมาอภิปราย ดังนั้นการที่บอกว่ารัฐบาลนี้ ทำให้ค่าไฟแพงและเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มทุนและพวกพ้องจึงเป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อนไปจากข้อเท็จจริง