ได้เวลาลดหนี้กองทุนน้ำมัน กบน.ใช้จังหวะราคาน้ำมันตลาดโลกขาลง หันมาเรียกเก็บเงินผู้ใช้ดีเซล 74 สตางค์ต่อลิตร ส่วนกลุ่มเบนซินเก็บเพิ่มอีก 50 สตางค์ต่อลิตร

225
- Advertisment-

คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) สั่งเลิกชดเชยราคาดีเซลแล้ว พร้อมเรียกเก็บเงินผู้ใช้ส่งเข้ากองทุนฯ 0.74 บาทต่อลิตรแทน ส่วนกลุ่มเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ โดนเรียกเก็บเงินเพิ่มอีก 50 สตางค์ต่อลิตร โดยน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 และ 91 ถูกเรียกเก็บถึง 4.20 บาทต่อลิตร ขณะที่ค่าการตลาดน้ำมันพุ่งสูงเกือบ 4 บาทต่อลิตร ในขณะที่เงินกองทุนน้ำมันฯ ยังติดลบกว่า 1.1 แสนล้านบาท

ผู้สื่อข่าวศูนย์ข่าวพลังงาน (Energy News Center – ENC) รายงานว่า คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 2567 ได้มีมติยกเลิกการชดเชยราคาน้ำมันดีเซล และหันมาเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้น้ำมันดีเซลเพื่อส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ แทน ในอัตรา 0.74 บาทต่อลิตร เนื่องจากราคาน้ำมันตลาดโลกปรับลดลง ขณะที่ราคาจำหน่ายดีเซลยังเท่าเดิมที่ 32.94 บาทต่อลิตร โดยการยกเลิกชดเชยราคาดีเซลและหันมาเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนฯ ดังกล่าวถือเป็นครั้งแรกที่เกิดขึ้นในปี 2567 (ที่ผ่านมา กบน. เคยเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้ดีเซลส่งเข้ากองทุนฯ สูงสุด 6.70 บาทต่อลิตร เมื่อ เดือน ก.พ. 2566 แต่ก็เคยอุดหนุนราคาดีเซลสูงสุดถึง 14 บาทต่อลิตร เมื่อเดือน มี.ค. 2565)

นอกจากนี้ กบน. ยังสั่งให้เรียกเก็บเงินจากผู้ใช้น้ำมันกลุ่มเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ เพื่อส่งเข้ากองทุนฯ เพิ่มขึ้นอีก 50 สตางค์ต่อลิตรด้วย  โดยผู้ใช้น้ำมันเบนซินออกเทน 95 ต้องส่งเงินเข้ากองทุนฯ 10.78 บาทต่อลิตร (จากเดิมเรียกเก็บ 10.28 บาทต่อลิตร), แก๊สโซฮอล์ 95 และ 91 เรียกเก็บ 4.20 บาทต่อลิตร (จากเดิมเรียกเก็บ 3.70 บาทต่อลิตร), แก๊สโซฮอล์ E20 เรียกเก็บ 2.21 บาทต่อลิตร (จากเดิมเรียกเก็บ 1.71 บาทต่อลิตร), แก๊สโซฮอล์ E85 เรียกเก็บ 1.56 บาทต่อลิตร (จากเดิมเรียกเก็บ 1.06 บาทต่อลิตร)

- Advertisment -

ส่วนดีเซล และดีเซล B20 เรียกเก็บ 0.74 บาทต่อลิตร (จากเดิมชดเชยอยู่ 40 สตางค์ต่อลิตร) และดีเซลเกรดพรีเมียม เรียกเก็บ 2.24 บาทต่อลิตร (จากเดิมเรียกเก็บ 1.50 บาทต่อลิตร)

พร้อมกันนี้ผู้ค้าน้ำมันยังได้ปรับค่าการตลาดน้ำมันกลุ่มเบนซิน-แก๊สโซฮอล์เพิ่มอีก โดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้รายงานค่าการตลาดน้ำมัน ณ วันที่ 8 ส.ค. 2567 พบว่า ค่าการตลาดน้ำมันเบนซิน ออกเทน 95 อยู่ที่ 4.27 บาทต่อลิตร, แก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ที่ 3.79 บาทต่อลิตร, แก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 3.88 บาทต่อลิตร, แก๊สโซฮอล์ E20 อยู่ที่ 3.82 บาทต่อลิตร, แก๊สโซฮอล์ E85 อยู่ที่ 2.50 บาทต่อลิตร ส่วนดีเซล B7 อยู่ที่ 1.82 บาทต่อลิตร และดีเซล B20 อยู่ที่ 0.86 บาทต่อลิตร โดยเฉลี่ยค่าการตลาดระหว่าง 1-8 ส.ค. 2567 อยู่ที่ 2.65 บาทต่อลิตร (จากค่าการตลาดที่ควรได้ที่ 1.50-2 บาทต่อลิตร)

ทั้งนี้ส่งผลให้ราคาน้ำมันขายปลีกเป็นดังนี้ น้ำมันเบนซิน ออกเทน 95 ราคา 45.24 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ราคา 37.35 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 ราคา 36.98 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 ราคา 35.24 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 ราคา 34.99 บาทต่อลิตร ส่วนราคาดีเซลอยู่ที่ 32.94 บาทต่อลิตร และดีเซลเกรดพรีเมียม อยู่ที่ 44.94 บาทต่อลิตร

อย่างไรก็ตามการเรียกเก็บเงินทั้งผู้ใช้น้ำมันดีเซลและเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ เพื่อส่งเข้ากองทุนฯ เพิ่มขึ้นดังกล่าว ก็เพื่อเร่งสะสมเงินไว้ชำระหนี้เงินต้นที่กู้จากสถาบันการเงินให้ทันในเดือน พ.ย. 2567 นี้ โดยจะทยอยจ่ายหนี้เงินต้นเกือบทุกเดือน เนื่องจากได้ทยอยกู้มาอย่างต่อเนื่องรวมเป็นเงิน 105,333 ล้านบาท

ส่วนฐานะเงินกองทุนน้ำมันฯ ล่าสุด ณ วันที่ 4 ส.ค. 2567 ที่รายงานโดยสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) พบว่า กองทุนฯ ยังคงติดลบรวม -111,323 ล้านบาท ซึ่งมาจากบัญชีน้ำมันติดลบรวม -63,737 ล้านบาท และมาจากบัญชีก๊าซหุงต้ม (LPG) ติดลบรวม -47,586 ล้านบาท

สำหรับสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกล่าสุด ณ วันที่ 8 ส.ค. 2567 เวลาประมาณ 14.00 น. ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ระดับ 75.35 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.06 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) อยู่ที่ 75.16 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ลดลง 0.07 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล  และราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) อยู่ที่ 78.13 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ลดลง 0.20 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล

Advertisment