ผลประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ 38 (38th AMEM) รูปแบบออนไลน์ซึ่งเวียดนาม เป็นเจ้าภาพ เห็นชอบขยายการซื้อขายไฟฟ้าแบบพหุภาคี โดยให้คำมั่นจะลงนามในบันทึกความเข้าใจการซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง 4 ประเทศคือ สปป. ลาว-ไทย-มาเลเซีย-สิงคโปร์ (LTMS-PIP) ในปริมาณ 100 เมกะวัตต์ และจะเริ่มทำการซื้อขายภายในปี 2565-2566 พร้อมเห็นชอบแผนปฏิบัติการความร่วมมืออาเซียนด้านพลังงาน ระยะที่ 2 ปี 2564 – 2568 (APAEC Phase II) โดย“มุ่งเน้นการกระตุ้นการเปลี่ยนผ่านและเสริมสร้างความเข้มแข็งในด้านความยืดหยุ่นทางพลังงาน เพื่อไปสู่นวัตกรรมที่ดีกว่า”
วันนี้ (23 พ.ย.63) นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานการแถลงข่าวผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ 38 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง (The 38th ASEAN Ministers on Energy Meeting and Associated Meetings: The 38th AMEM) ซึ่งประเทศเวียดนาม เป็นเจ้าภาพจัดประชุมรูปแบบออนไลน์ ระหว่างวันที่ 18-19 พ.ย.2563 ที่ผ่านมาโดย มีผลสำเร็จสำคัญที่เกิดขึ้นได้แก่
● เห็นชอบแผนปฏิบัติการความร่วมมืออาเซียนด้านพลังงาน ระยะที่ 2 ปี 2564 – 2568 (APAEC Phase II) โดยมีแนวคิดคือ “มุ่งเน้นการกระตุ้นการเปลี่ยนผ่านและเสริมสร้างความเข้มแข็งในด้านความยืดหยุ่นทางพลังงาน เพื่อไปสู่นวัตกรรมที่ดีกว่า”
● ด้านการเชื่อมโยงโครงข่ายไฟฟ้าอาเซียน (APG) มีการขยายการซื้อขายไฟฟ้าแบบพหุภาคีภายในภูมิภาคจาก 3 เป็น 4 ประเทศ และมีการให้คำมั่นจะลงนามในบันทึกความเข้าใจการซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง 4 ประเทศคือ สปป. ลาว-ไทย-มาเลเซีย-สิงคโปร์ (LTMS-PIP) ในปริมาณ 100 เมกะวัตต์ และจะเริ่มทำการซื้อขายภายในปี 2565-2566
● ด้านการเชื่อมโยงด้านก๊าซ (TAGP) ได้มีการขยายโครงสร้างพื้นฐานด้านก๊าซธรรมชาติ (สถานีกักเก็บ LNG) ปัจจุบันอาเซียนมีความสามารถในการรองรับได้ทั้งสิ้น 38.75 ล้านตัน/ปี ใน 9 สถานี และส่งเสริมการค้า small scale LNG และการสร้างเสถียรภาพของตลาด LNG ในภูมิภาค
● ด้านถ่านหินและเทคโนโลยีถ่านหินสะอาด ความก้าวหน้าโครงการจัดตั้งศูนย์พลังงานอาเซียน หรือ ASEAN Centre of Excellence for Clean Coal and Technology เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านถ่านหินของภูมิภาค
● ด้านประสิทธิภาพและการอนุรักษ์พลังงาน (EE&C) ในปี 2561 อาเซียนสามารถลดความเข้มในการใช้พลังงาน ได้ร้อยละ 21 สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ ดังนั้นในปี 2563 จึงเพิ่มเป้าหมายลดความเข้มในการใช้พลังงานจากเดิม ร้อยละ 30 เป็นร้อยละ 32 ภายในปี 2568
● ด้านพลังงานหมุนเวียน (RE) อาเซียนเพิ่มเป้าหมายกำลังการผลิตติดตั้งของโรงไฟฟ้าทั้งหมดภายในปี 2568 จากเดิมที่ร้อยละ 30 เป็นร้อยละ 35 และเร่งสนับสนุนกิจกรรมด้านพลังงานทดแทนเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ที่ร้อยละ 23 ภายในปี 2568
● ด้านนโยบายและแผนพลังงานของภูมิภาคอาเซียน (REPP) ได้จัดทำการศึกษาทิศทางพลังงานของภูมิภาค อาเซียน ฉบับที่ 6 (AEO6) และเพิ่มแผนการดำเนินงานเกี่ยวกับการรับมือสถานการณ์ COVID-19 และสถานการณ์ฉุกเฉินอื่น ๆ ที่อาจจะกระทบต่อภาคพลังงาน
● ด้านพลังงานนิวเคลียร์เพื่อประชาชน (CNE)
อาเซียนจะเดินหน้าส่งเสริมการดำเนินงานเพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนเกี่ยวกับพลังงานนิวเคลียร์ และเสริมสร้างขีดความสามารถให้แก่บุคลากรทางด้านพลังงานนิวเคลียร์ในภูมิภาค
● ความร่วมมือเครือข่ายการกำกับกิจการพลังงานอาเซียน (AERN) มุ่งเน้นการร่วมมือกันในการศึกษาการเพิ่มบทบาทขององค์กรกำกับกิจการพลังงานและการศึกษาแนวทางการ
ซื้อขายไฟฟ้าแบบพหุภาคีในภูมิภาคอาเซียนเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานร่วมกัน
นอกจากนี้ ยังมีกรอบความร่วมมืออาเซียน +3 จีน เกาหลี ญี่ปุ่น และกรอบความร่วมมือเอเชียตะวันออก โดยได้เน้นย้ำความร่วมมือด้านความมั่นคงทางพลังงาน การส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนและการจัดหาแหล่งพลังงานใหม่ ๆ และการเป็น Low Carbon Society
ความร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศ อาเซียนขอบคุณหน่วยงานทบวงการพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) และทบวงการพลังงานหมุนเวียนระหว่างประเทศ (IRENA) ที่สนับสนุนการดำเนินงานของอาเซียนให้เป็นไปตาม เป้าหมาย ผ่านการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และการทำการศึกษาต่าง ๆ
ทั้งนี้ อาเซียนยังได้แสดงความยินดีกับบรรดาผู้ได้รับรางวัล ASEAN Energy Awards ประจำปี 2563 ทุกประเภท ซึ่งในปีนี้ไทยเป็นผู้ได้รับรางวัลมากที่สุด ด้านการอนุรักษ์พลังงาน 14 รางวัล ด้านพลังงานหมุนเวียน 11 รางวัล และได้รับ รางวัลบุคคลดีเด่นด้านการบริหารจัดการพลังงานอีก 3 รางวัล