ปตท.พร้อมลดขนาดธุรกิจก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์(NGV)เปิดทางเอกชนแข่งขัน โดยเน้นหารายได้และกำไรเพิ่มจากธุรกิจที่ไม่ใช่ NGVภายในปั๊ม เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า ได้มีการหารือร่วมกับหน่วยธุรกิจก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ หรือ NGV ของปตท. แล้วถึงทิศทางการทำธุรกิจNGV ของปตท.ในอนาคต ว่าจะมีการลดบทบาทของปตท.ลง เพื่อเพิ่มโอกาสให้ภาคเอกชนได้เข้ามาแข่งขันมากขึ้น โดยพยายามที่จะ ชี้ให้ฝ่ายนโยบายเห็นถึงความสำคัญของการลอยตัวราคาNGV ให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง เพื่อให้การทำธุรกิจสถานีบริการเอ็นจีวี เป็นธุรกิจที่สามารถทำกำไรได้เช่นเดียวกับธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน
ทั้งนี้ธุรกิจสถานีบริการNGV ของปตท.จะมีการปรับลดลงให้เหลือเฉพาะสถานีตามแนวท่อส่งก๊าซ เพื่อให้มีผลตอบแทนที่คุ้มค่าต่อการลงทุนมากขึ้น ในขณะเดียวกัน จะมีการเพิ่มธุรกิจบริการอื่นๆที่ไม่เกี่ยวกับNGV เข้าไปอยู่ในสถานีบริการ หรืออาจจะมีการเพิ่มหัวจ่ายน้ำมันควบคู่กันไป หรือการปรับปรุงสถานีบริการให้เป็นศูนย์กลางการขนส่งของรถบรรทุก เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อให้ ธุรกิจNGV ของปตท.สามารถที่จะสร้างรายได้และการเติบโตได้อย่างยั่งยืนในอนาคต
ผู้สื่อข่าวศูนย์ข่าวพลังงาน (Energy News Center -ENC ) รายงานว่า ที่ผ่านมารัฐมีนโยบายส่งเสริมการใช้NGV ก็เพื่อเป็นทางเลือก ให้กับประชาชนเนื่องจากราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูง โดย NGV ถูกตรึงราคาเอาไว้ในระดับ 8.50 บาทต่อกิโลกรัม และให้ปตท.เป็นผู้ช่วยแบกรับภาระให้มาโดยตลอด โดยเมื่อราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลงมา และมีการส่งเสริมไบโอดีเซล รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ ซึ่งมีความเข้าใจในปัญหา จึงมีนโยบายที่จะทยอยให้มีการปรับราคาNGV ให้สะท้อนต้นทุนที่เป็นจริงมากขึ้น และเป็นการช่วยลดภาระของปตท.ลง โดยปัจจุบัน ปตท.ยังคงช่วยแบกรับภาระให้เฉพาะส่วนของผู้ใช้ที่เป็นกลุ่ม รถโดยสารสาธารณะ ตามมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน(กบง.)
ปัจจุบันราคา NGV ที่จำหน่ายให้กลุ่มรถโดยสารสาธารณะอยู่ที่ 11.62 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนราคา NGV สำหรับรถยนต์ทั่วไปอยู่ที่ 15.88 บาทต่อกิโลกรัม โดย ปตท.มีปั๊มNGVอยู่430 แห่ง แบ่งเป็นปั๊มที่อยู่ตามแนวท่อก๊าซธรรมชาติ 121 แห่ง ที่เหลือเป็นปั๊มที่อยู่นอกแนวท่อ โดยการทำปั๊ม NGV เฉพาะแนวท่อก๊าซฯ จะมีความคุ้มค่าและช่วยลดต้นทุนค่าขนส่งก๊าซฯทางรถลงได้มาก