บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM หนึ่งในผู้นำด้านธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าภาคเอกชน เผยผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 3 ประจำปี 2566 ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งด้วยการพลิกทำกำไรจากการดำเนินงานปกติ (Normalised Net Profit) จำนวน 632 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 25 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าขยายพอร์ตด้านพลังงานทดแทนต่อเนื่องทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อก้าวสู่เป้าหมายการเป็นบริษัทผู้ผลิตพลังงานชั้นนำระดับโลก
ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM เปิดเผยว่า “ ผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ประจำปี 2566 ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งโดยสามารถทำกำไรสุทธิจากการดำเนินงานจำนวน 632 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่จำนวน 25 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิ (หลังหักรายการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนซึ่งเกิดจากการแปลงมูลค่าทางบัญชีซึ่งไม่กระทบกระแสเงินสด) อยู่ที่จำนวน 344 ล้านบาท ผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นนี้เป็นผลมาจากการฟื้นตัวของกลุ่มโรงไฟฟ้าอุตสาหกรรม (SPP) อันเนื่องมาจากการฟื้นตัวดีขึ้นบางส่วนจากอัตรากำไรระหว่างค่า FT และต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติ รวมถึงการขยายฐานลูกค้าอุตสาหกรรมที่มากขึ้นส่งผลให้ปริมาณไฟฟ้าที่จำหน่ายให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ยังเป็นผลจากปริมาณการใช้ก๊าซธรรมชาติต่อหน่วยที่ลดลงร้อยละ 4.3 จากการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานโรงไฟฟ้าที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ บี.กริม เพาเวอร์ ได้เชื่อมต่อเข้าสู่ระบบของลูกค้าอุตสาหกรรมรายใหม่ในประเทศไทยรวม 39.5 เมกะวัตต์ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ในไตรมาส 3/2566 ทำให้ยอดสะสมตั้งแต่ต้นปีถึงเดือน กันยายน ได้เชื่อมต่อลูกค้าใหม่เข้าระบบแล้ว 51.7 เมกะวัตต์ เปรียบเทียบกับเป้าหมายทั้งปีที่ 50-60 เมกะวัตต์ โดยคาดว่าในปีหน้าจะมีลูกค้าใหม่อีก 50-60 เมกะวัตต์เช่นกัน สำหรับการขยายการลงทุนและการดำเนินงานที่สำคัญของ บี.กริม เพาเวอร์ในช่วงที่ผ่านมา อาทิเช่น ในช่วงเดือนสิงหาคมได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินกำลังการผลิตติดตั้ง 23.5 เมกะวัตต์ ซึ่งดำเนินงานภายใต้บริษัท KOPOS Co., Ltd. ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศสาธารณรัฐเกาหลี และในเดือนตุลาคม ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์โครงการโรงไฟฟ้า BGPAT3 ขนาด 140 เมกะวัตต์ ซึ่งถือเป็นโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 90 เมกะวัตต์ กับทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งมีกลไกการส่งผ่านค่าเชื้อเพลิงตามราคาก๊าซธรรมชาติเป็นระยะเวลา 25 ปี นอกจากนี้ ในเดือนตุลาคม บริษัท RES Company Sicilia S.r.l. (ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บี.กริม เพาเวอร์) ได้เข้าซื้อหุ้นทั้งหมดร้อยละ 100 ใน บริษัท LT06 S.r.l. เพื่อพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน ที่มีระบบหมุนตามดวงอาทิตย์ (tracking system) กำลังการผลิตติดตั้ง 80.9 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศอิตาลี ทำให้ปัจจุบัน บี.กริม เพาเวอร์ มีโครงการโรงไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนรวมทั้งหมด 250-300 เมกะวัตต์ในประเทศอิตาลีที่อยู่ระหว่างพัฒนาโดยส่วนใหญ่ได้รับอนุญาตในการเชื่อมต่อ Grid connection แล้ว ในส่วนของความคืบหน้าด้านการก่อสร้างโครงการใหม่นั้น ในเดือนธันวาคม 2566 มีกำหนดการ COD โครงการ BGPAT3 ขนาด 140 เมกะวัตต์ซึ่งมี PPA แบบส่งผ่านต้นทุนพลังงานกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ขนาด 90 เมกะวัตต์ ถัดมาในปี 2567 มีกำหนดการ COD โครงการโรงไฟฟ้าแบบผสมผสาน อู่ตะเภา เฟสแรก ขนาด 18 เมกะวัตต์ ซึ่งปัจจุบันมีความคืบหน้าร้อยละ 92 และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ GIFU ขนาด 20 เมกะวัตต์ในประเทศญี่ปุ่น รวมถึงโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม แบบติดตั้งบนบก KOPOS ขนาด 20 เมกะวัตต์ ในประเทศเกาหลีใต้
สำหรับทิศทางธุรกิจในปี 2566 บี.กริม เพาเวอร์ มุ่งขยายการลงทุนทั้งโครงการใหม่และการเข้าซื้อกิจการทั้งในประเทศและต่างประเทศ มุ่งขยายการดำเนินงานด้วยการลงทุนในพอร์ตธุรกิจที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับต่ำ อาทิเช่น ประเทศเกาหลีใต้, ญี่ปุ่น, เวียดนาม, ฟิลิปปินส์, กัมพูชา, กรีซ, อิตาลี, สหรัฐอเมริกา, ออสเตรเลีย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และซาอุดิอาระเบีย โดยคาดว่าจะมีกำลังการผลิตจากโครงการที่เปิดดำเนินการแล้วเพิ่มขึ้นอีก 632 เมกะวัตต์ จาก 3,338 เมกะวัตต์ในสิ้นปี 2565 เป็น 3,970 เมกะวัตต์ภายในสิ้นปี 2566 โดยการดำเนินงานและการขยายธุรกิจตลอดการดำเนินงานที่ผ่านมาเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในระยะยาวของบริษัทสู่การเป็นผู้ผลิตพลังงานชั้นนำระดับโลกและบรรลุเป้าหมายการขยายพอร์ตสู่กำลังการผลิต 10,000 เมกะวัตต์ ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในปี 2573
ทั้งนี้ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ได้รับการคัดเลือกจากองค์กรและหน่วยงานด้านความยั่งยืนทั้งในประเทศและต่างประเทศหลากหลายองค์กร ประกอบด้วย ได้รับคัดเลือกให้อยู่ในเรตติ้งสูงสุด “AAA” จาก SET ESG Ratings (ชื่อเดิมคือ Thailand Sustainability Investment หรือ THSI), การติดอันดับ S&P Global Sustainability Yearbook 2023 ด้วยคะแนนท็อป 10% ในกลุ่มบริษัทผู้นำ, การได้รับอันดับความน่าเชื่อถือระดับ BBB จาก MSCI ESG Rating รวมถึงได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืนระดับโลก FTSE4Good Index Series เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน ตอกย้ำถึงการดำเนินธุรกิจด้วยความโอบอ้อมอารี พร้อมขับเคลื่อนไปสู่การเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Carbon Emissions) ภายในปี พ.ศ. 2593