บางจาก ขึ้นแท่นโรงกลั่นกำลังผลิตสูงสุดในประเทศไทยหลังเข้าซื้อหุ้นเอสโซ่ คาด 2 ปีเปลี่ยนปั๊มเอสโซ่เป็นโลโก้บางจากได้หมด

873
- Advertisment-

บางจากฯ ผงาดขึ้นแท่นเป็นโรงกลั่นที่มีปริมาณการกลั่นน้ำมันมากสุดในประเทศ 2.94 แสนบาร์เรลต่อวัน หลังจากเข้าซื้อหุ้นค่ายน้ำมันเอสโซ่เสร็จ พร้อมกางแผน 2 ปีเปลี่ยนปั๊มเอสโซ่กว่า 700 แห่ง เป็นบางจาก ส่งผลให้มีปั๊มบางจากทั่วประเทศกว่า 2,100 แห่ง รองรับความต้องการใช้น้ำมันและสร้างความมั่นคงพลังงานไทย  ยืนยันมีทุนหนาเพียงพอ เตรียมเงินกว่า 6 หมื่นล้านบาท รองรับปิดดีลซื้อกิจการ “เอสโซ่” ในไทย

นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจากและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดแถลงข่าวภายหลังคณะกรรมการ(บอร์ด) บางจากฯ อนุมัติซื้อหุ้นบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จาก ExxonMobil Asia Holdings Pte. Ltd.  ไป 65.99% เมื่อวันที่ 11 ม.ค. 2566 ว่า การซื้อหุ้นบริษัท เอสโซ่ฯ ในครั้งนี้ ช่วยให้บางจากฯ กลายเป็นบริษัทที่มีกำลังการกลั่นน้ำมันมากที่สุดในประเทศไทยถึง 2.94 แสนบาร์เรลต่อวัน และทำให้บางจากฯ มีปั๊มน้ำมันเพิ่มเป็น 2,100 แห่งทั่วประเทศ ส่งผลให้คนไทยสามารถเข้าถึงน้ำมันบางจากฯ ได้มากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลที่ความต้องการใช้น้ำมันสูง รวมถึงกรณีบางจากฯ เข้ามาช่วยตรึงราคาน้ำมันบางช่วง ทำให้ประชาชนหันมาใช้น้ำมันบางจากฯ มากขึ้น ดังนั้นการซื้อหุ้นเอสโซ่ฯ ในครั้งนี้ นอกจากจะทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการของบางจากฯ ได้สะดวกขึ้นแล้ว ยังจะช่วยเพิ่มความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศอีกด้วย

อย่างไรก็ตามปั๊มเอสโซ่ทั้งหมดกว่า 700 แห่งจะทยอยเปลี่ยนเป็นโลโก้ของบางจากภายในเวลา 2 ปี ส่วนน้ำมันจากเอสโซ่จะเปลี่ยนเป็นมาตรฐานของบางจากภายหลังจากจำหน่ายหมดถัง ซึ่งน่าจะใช้เวลาประมาณ 3 วัน   

- Advertisment -

ทั้งนี้การซื้อกิจการของเอสโซ่ฯ จะไม่เป็นการผูกขาดธุรกิจ เพราะหากพิจารณาจากจำนวนปั๊มน้ำมันในประเทศไทยที่มีอยู่ประมาณ  20,000 แห่งทั่วประเทศนั้น บางจากฯ รวมกับเอสโซ่แล้ว ก็มีปั๊มในสัดส่วน 7.5% เท่านั้น ขณะที่ส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ราว 29.1% ยังคงเป็นเบอร์ 2 ของประเทศ และการซื้อกิจการของเอสโซ่ครั้งนี้ เป็นการซื้อสินทรัพย์ ไม่ได้ซื้อยี่ห้อ ดังนั้นทาง Exxon Mobil ยังคงเก็บยี่ห้อไว้สำหรับธุรกิจน้ำมันเครื่องและเคมีภัณฑ์ต่อไป ส่วนพนักงานของเอสโซ่ ก็จะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ยังเป็นสัญญาจ้างเดิม

“ดีลครั้งนี้ บางจากฯ คาดหวังผลจากการ Synergy ร่วมกันกับ เอสโซ่ โดยคาดว่า จะเกิดการประหยัด ประมาณ 1,500-2,000 ล้านบาทต่อปี”

สำหรับการลงทุนซื้อหุ้นในครั้งนี้อยู่ในแผนการลงทุนของบางจากฯ เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ที่ผู้บริหารบางจากฯ สมัยนั้นเห็นควรให้บางจากฯ มีโรงกลั่นแห่งที่ 2  และที่ผ่านมามีโรงกลั่นฯ เข้ามาเสนอขายให้กับบางจากฯ มากกว่า 2 โรงกลั่น และ เอสโซ่ ก็เป็น 1 ใน 3 แห่งที่มีการพูดคุยกัน ซึ่งสามารถจบดีลกับเอสโซ่ได้ก่อน และดีลนี้ ใช้เวลาในการเจรจาร่วม 1 ปี ซึ่งถือว่าสมเหตุผล เพราะทำให้มีสินทรัพย์ยุทธศาสตร์มาอยู่กับบางจากฯและประเทศเพิ่มขึ้น ถือเป็นการผ่องถ่ายสินทรัพย์บริษัทพลังงานข้ามชาติมาเป็นของประเทศไทย

ทั้งนี้ภายหลังบางจากฯ ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นกับ Exxon Mobil Asia Holdings Pte. Ltd. แล้ว ขั้นตอนต่อไปยังต้องรอให้ทาง เอสโซ่ ดำเนินการขอแก้ไขสัญญาการขายโรงกลั่นระหว่าง เอสโซ่ ประเทศไทย กับ กระทรวงอุตสาหกรรม ที่ทำไว้เมื่อ15-20 ปีก่อน และภาระหนี้ก็จะถูกโอนไปยังกระทรวงพลังงาน ซึ่งเมื่อมีการเปลี่ยนมือเจ้าของกิจการ ก็จะต้องดำเนินการขออนุมัติจากหน่วยงานภาครัฐตามกระบวนการก่อน

ขณะเดียวกัน ทางบางจากฯ ก็จะต้องนำเรื่องเสนอเพื่อขออนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ภายในช่วงต้นเดือนเม.ย. 2566 นี้ คาดว่าจะดำเนินการซื้อขายเสร็จอย่างเร็วช่วงเดือน ส.ค.-ก.ย. 2566 หรือ อย่างช้าเดือน พ.ย.-ธ.ค. 2566 นี้ จากนั้น ก็จะเจรจาซื้อขายหุ้นครั้งสุดท้ายต่อไป

อย่างไรก็ตามบางจากฯ มั่นใจว่า มีฐานะทางการเงินแข็งแกร่งเพียงพอ พร้อมรองรับปิดการซื้อขายหุ้นในครั้งนี้ได้  ซึ่งปัจจุบันบางจากฯ มีกระแสเงินสดประมาณ 40,000 ล้านบาท และยังมีวงเงินกู้จากสถาบันการเงินที่อนุมัติครอบคลุมการซื้อกิจการครั้งนี้ที่วงเงินประมาณ  30,000 ล้านบาทแล้ว โดยการซื้อขายหุ้นฯ ครั้งนี้ คาดว่าจะต้องใช้เงินรวมทั้งหมดกว่า 60,000 ล้านบาท ซึ่งบางจากฯ มีความพร้อม

ส่วนจะมีความร่วมมือทางธุรกิจกับโรงกลั่นรายอื่นหลังการซื้อหุ้นในครั้งนี้หรือไม่นั้น มองว่าแม้จะมีการซื้อหุ้นครั้งนี้หรือไม่ก็ตาม แต่ทางโรงกลั่นแต่ละแห่งจะมีความร่วมมือระหว่างกันตลอดเวลาเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนส่วนผสมน้ำมันเพื่อให้ได้ตามเกณฑ์การซื้อขายในแต่ละครั้ง ดังนั้นการซื้อหุ้นของบางจากฯ นี้ ก็ไม่ได้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงความร่วมมือที่เกิดขึ้นเหล่านี้แต่อย่างใด   

Advertisment