บอร์ด กฟผ. เห็นชอบสัญญา Global DCQ ในปริมาณ 5 ล้านตันต่อปี กำหนดระยะเวลา 10 ปี คาดสามารถลงนามกลางปี 2563 ในขณะที่ฝ่ายบริหารเตรียมเสนอบอร์ดในเดือนมกราคม ขอจัดหาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) อีก 6 แสนตัน ในปี 2563 และ 1 ล้านตัน ในปี 2564 เพื่อนำมาใช้กับโรงไฟฟ้าพระนครใต้และบางปะกง
นายธวัชชัย จักรไพศาล รองผู้ว่าการเชื้อเพลิง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการ (บอร์ด) กฟผ. เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.2562 ได้เห็นชอบในหลักการกรอบสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระยะยาว ระหว่าง กฟผ. และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือสัญญา Global DCQ แล้ว และให้กลับไปจัดทำรายละเอียดแบบเป็นสัญญาฉบับสมบูรณ์ เพื่อนำมาเสนอบอร์ด กฟผ. อนุมัติต่อไป
ทั้งนี้ คาดว่าจะจัดทำร่างสัญญาดังกล่าวเสร็จในเดือน ม.ค.2563 จากนั้นจะเสนอบอร์ด กฟผ. เห็นชอบปลายเดือน ม.ค. โดยหลังจากบอร์ด กฟผ. เห็นชอบแล้วอีก 6 เดือน ก็จะลงนามกับ ปตท. ได้ เนื่องจากเมื่อเร็ว ๆ นี้ กฟผ. และ ปตท. ได้ต่อสัญญาซื้อขายก๊าซฯ ที่เป็นสัญญาระยะสั้นระหว่างกันอีก 6 เดือน หลังจากสัญญาดังกล่าวจะหมดอายุในวันที่ 31 ธ.ค.2562 ดังนั้นคาดว่าสัญญาซื้อขายก๊าซฯ แบบ Global DCQ จะมาใช้ต่อจากสัญญาแบบปีต่อปีได้ทันที
สำหรับสัญญา Global DCQ ในครั้งนี้ เบื้องต้นจะมีอายุประมาณ 10 ปี และจะกำหนดสัดส่วนว่า แต่ละปีมีปริมาณความต้องการซื้อเท่าไหร่ โดยช่วง 5 ปีแรก ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงปริมาณซื้อขายก๊าซฯ ได้ แต่ช่วง 5 ปีหลังของสัญญาฯ สามารถทบทวนปริมาณซื้อได้ตามสถานการณ์ความต้องการใช้
แหล่งข่าว กฟผ. กล่าวว่า ความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติของ กฟผ. ในขณะนี้มีประมาณ 6 ล้านตันต่อปี และตามที่กระทรวงพลังงานให้เจรจารับซื้อจาก ปตท. เป็นสัญญา Global DCQ นั้น กฟผ. จึงตกลงในสัญญาซื้อก๊าซฯ จาก ปตท. ประมาณ 5 ล้านตันต่อปี หรือ 700 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน โดย บอร์ด กฟผ. ได้เห็นชอบแล้วและหลังจากนี้จะเจรจารายละเอียดต่อไป
ส่วนความต้องการก๊าซฯ ของ กฟผ. ที่เหลืออีก 1 ล้านตันต่อปี หรือ 140 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ทาง กฟผ. จะเตรียมเสนอบอร์ด กฟผ. เดือน ม.ค.ที่จะถึงนี้ เพื่อขอนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) มาใช้เอง โดยจะทยอยนำเข้า 6 แสนตันต่อปี ในปี 2563 และ 1ล้านตันต่อปี ในปี 2564 ซึ่งจะนำมาใช้กับโรงไฟฟ้าพระนครใต้และบางปะกง
ส่วนความต้องการก๊าซฯ สำหรับ 7 โรงไฟฟ้าใหม่ในอนาคต ตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าระยะยาว 20 ปี (PDP2018) อีก 3.5 ล้านตันต่อปี จะซื้อจากไหน คงต้องรอนโยบายรัฐต่อไป