นักวิชาการ ส่งหนังสือถึงรัฐมนตรีพลังงาน เสนอแผนปรับโครงสร้างราคาค่าไฟฟ้าและเปิดตลาดไฟฟ้าเสรีอย่างมีขั้นตอน

313
- Advertisment-

สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ส่งหนังสือถึงรัฐมนตรีพลังงาน ชี้นโยบายลดค่าไฟฟ้าเป็นสิ่งสำคัญแต่เป็นเพียงแผนระยะสั้นเท่านั้น แต่ควรพิจารณาผลกระทบระยะยาวต่อทุกภาคส่วน และความชัดเจนในการช่วยเหลือเฉพาะกลุ่ม  พร้อมเสนอแผนระยะสั้นปฏิรูปโครงสร้างราคาค่าไฟฟ้าอย่างเป็นธรรม และแผนระยะยาว เปิดตลาดไฟฟ้าเสรีอย่างเป็นขั้นตอน

น.ส. อารีพร อัศวินพงศ์พันธ์ นักวิชาการ นโยบายพลังงาน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ได้ทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพื่อยื่นข้อเสนอในการปฏิรูปโครงสร้างราคาค่าไฟฟ้าอย่างเป็นธรรมและแนวทางการเปิดตลาดไฟฟ้าเสรี โดยมีการเสนอให้ปฏิรูปค่าไฟฟ้าทั้งแบบระยะสั้นและระยะยาว

โดยสาระสำคัญระบุว่า แม้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ปรับปรุงอัตราสนับสนุนเงินส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) และเงินสนับสนุนตามต้นทุนที่แท้จริง (FiT) ซึ่งจะส่งผลให้ค่าไฟฟ้าลดลงได้ 17 สตางค์ต่อหน่วย เป็นสิ่งที่รัฐบาลควรให้ความสำคัญเพื่อลดปัญหาค่าครองชีพประชาชน แต่ TDRI เห็นเพิ่มเติมว่าปัญหาค่าไฟฟ้าของไทยเป็นสิ่งที่ต้องแก้ไขระยะยาวผ่านแนวทางการปฏิรูปโครงสร้างค่าไฟฟ้า ควบคู่กับการให้ความช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มที่มีความจำเป็น เพื่อไม่ให้เกิดเป็นค่าความเสียโอกาสจากภาระหนี้สินที่เกิดขึ้นจากการใช้พลังงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ

- Advertisment -

ทั้งนี้แม้มาตรการลดค่าไฟฟ้าจะเป็นนโยบายที่เหมาะสมในระยะสั้น แต่ควรพิจารณาผลกระทบในระยะยาวต่อทุกภาคส่วน ตั้งแต่ผู้ผลิตไปจนถึงผู้ใช้ไฟฟ้า เช่น ปัญหาสภาพคล่องของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งส่งผลต่อการลงทุนทางเทคโนโลยีในระยะยาวและต้นทุนของภาคประชาชนจากการแบกรับค่าความพร้อมจ่าย (AP) รวมถึงการหลีกเลี่ยงในการปรับพฤติกรรมหรือการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการจัดการพลังงาน ของภาคประชาชนและอุตสาหกรรม

ส่วนในระยะยาว ภาครัฐควรให้ความสำคัญกับการเปิดตลาดไฟฟ้าเสรีเพื่อเพิ่มปริมาณไฟฟ้าสะอาดให้ทันต่อความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการสร้างการแข่งขันในตลาดไฟฟ้า ซึ่งนำไปสู่ราคาที่เป็นธรรมในระยะยาว

ดังนั้น TDRI จึงเห็นว่าการจัดการปัญหาราคาค่าไฟฟ้าระยะสั้นสามารถดำเนินการได้ทันที และการกำหนดนโยบายของภาครัฐเพื่อสนับสนุนการเปิดตลาดไฟฟ้าเสรีในระยะยาว จะสร้างประโยชน์แก่ทั้งภาคเศรษฐกิจและสังคมไทยโดยรวมด้วย

สำหรับข้อเสนอมาตรการระยะสั้นคือ การปฏิรูปโครงสร้างราคาค่าไฟฟ้าอย่างเป็นธรรม ซึ่งควรเร่งให้มีการปฏิรูปโครงสร้างค่าไฟฟ้า เนื่องจากราคาค่าไฟฟ้าปัจจุบันได้สร้างภาระหนี้ผูกพันที่สามารถส่งผลต่อค่าไฟฟ้าสูงสุด 1.70 บาทต่อหน่วย ดังนั้น TDRI จึงเสนอแนวทางปฏิรูปดังนี้

1.ควรกำหนดให้ “มาตรการกำหนดราคาก๊าซในระดับราคาของ Pool gas” เป็นมาตรการระยะยาว ซึ่งจะส่งผลให้ราคา Pool gas และต้นทุนการผลิตไฟฟ้าลดลง พร้อมกำหนดให้ Energy Pool Price  มีหลักคิดที่สะท้อนความต้องการใช้(อุปสงค์) และปริมาณที่พร้อมจำหน่าย (อุปทาน) ในช่วงเวลาที่กำหนด โดยปัจจุบันการคำนวณสะท้อนเพียงเรื่องของราคาและปริมาณการนำเข้าของผู้นำเข้าเท่านั้น ซึ่งไม่สะท้อนการแข่งขันด้านราคา

2.ควรพิจารณาการคิดค่าผ่านท่อและโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ให้สะท้อนการใช้งานจริงในภาคการผลิตไฟฟ้าสำหรับประชาชน  3.ควรมีการแยกสินทรัพย์ทางบัญชีให้ชัดเจนสำหรับการใช้งาน LNG Terminal เพื่อไม่ให้ต้นทุนในการสร้าง  LNG Terminal และต้นทุนในการแปรสภาพก๊าซที่ไม่ได้ใช้ในภาคการผลิตไฟฟ้าสำหรับประชาชน ถูกส่งผ่านอย่างไม่เป็นธรรมในรูปค่าไฟฟ้า และ 4. ควรมีการปรับหลักการคิดค่าความพร้อมจ่าย (AP) ที่เป็นรูปธรรม ด้วยการชะลอการสร้างโรงไฟฟ้าที่ไม่จำเป็น และควรปรับรูปแบบสัญญาการซื้อขายไฟฟ้าในระยะยาว ให้ผู้ผลิตไฟฟ้าร่วมรับผิดชอบต้นทุนการก่อสร้างโรงไฟฟ้า สำหรับโรงไฟฟ้าที่จำเป็นต้องก่อสร้าง เช่น โรงไฟฟ้าที่สร้างทดแทนโรงไฟฟ้าเก่าที่กำลังหมดอายุ เพื่อลดภาระค่าความพร้อมจ่ายของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ซึ่งจะเป็นการช่วยลดภาระค่าไฟฟ้าของประชาชนในท้ายที่สุด

สำหรับข้อเสนอมาตรการระยะยาวคือเรื่อง ความเสี่ยงและแนวทางการเปิดตลาดไฟฟ้าเสรี โดย TDRI เห็นว่าหากภาครัฐไม่มีเป้าหมายเรื่องไฟฟ้าสะอาดและขาดกลไกการขับเคลื่อนที่ชัดเจนอย่างตลาดไฟฟ้าเสรีจะนำไปสู่ความเสี่ยง 3 มิติ ได้แก่ ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น, การลดลงของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ และการสูญเสียตำแหน่งในห่วงโซ่อุปทานโลก นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบด้านสังคมที่ทำให้การจ้างงานลดลง ความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มขึ้น และผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ด้านการใช้พลังงานที่ไม่ยั่งยืน

ดังนั้นการเปิดตลาดไฟฟ้าเสรีของไทย ควรมีเป้าหมายที่ชัดเจน ซึ่ง TDRI เสนอแนวทางดังนี้

ระยะแรก ปี พ.ศ. 2569-2573 ควรมุ่งเน้นภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่และธุรกิจที่ต้องการพลังงานสะอาด เช่น กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการ CBAM ผ่านการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโดยตรง (Direct PPA) ระหว่างผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาดและผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 41% ของจำนวนผู้ใช้งานทั้งหมดในตลาดไฟฟ้าเสรี

ระยะที่สอง (ก่อนปี พ.ศ. 2580) ควรเพิ่มการเข้าถึงตลาดไฟฟ้าเสรีสำหรับกลุ่มผู้ใช้ในโรงงานและอาคารควบคุมขนาดกลางและขนาดเล็ก รวมไปถึงผู้ประกอบการในวิสาหกิจขนาดกลาง ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 45%

ระยะที่สาม (ก่อนปี พ.ศ.2593) ควรเพิ่มกลุ่มกิจการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ซึ่งคิดเป็น 65% และหลังจากนั้นในระยะที่สี่ จึงครอบคลุมถึงภาคครัวเรือนทั้งหมด ซึ่งทำให้เกิดตลาดไฟฟ้าเสรีในประเทศไทยครบทั้ง 100%

อย่างไรก็ตามการกำหนดมาตรการกำกับดูแลและมาตรการส่งเสริมการแข่งขันที่ชัดเจน จะทำให้การบริการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานอย่างไฟฟ้าเกิดการแข่งขัน มีราคาที่เป็นธรรม พร้อมทั้งมีปริมาณพลังงานสะอาดที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตามความต้องการของผู้ใช้ ดังนั้นการวางเป้าหมายเหล่านี้จะช่วยให้ไทยก้าวสู่ระบบพลังงานที่ยั่งยืน ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนและเศรษฐกิจในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Advertisment