ซีอีโอปตท.แจงเหตุผลถือหุ้นข้างน้อยในโครงการพัฒนาท่าเรือมาบตาพุด เฟส3ร่วมกับกลุ่มกัลฟ์ โดยเป็นการกระจายความเสี่ยงการลงทุน และดำเนินการสอดคล้องตามนโยบายรัฐ ที่ต้องการสร้างการแข่งขันในธุรกิจLNG
นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท จำกัด (มหาชน) กล่าวตอบคำถามสื่อมวลชน ถึงการยื่นข้อเสนอเข้าร่วมการประมูล โครงการพัฒนาท่าเรือมาบตาพุดเฟส 3 ร่วมกับกลุ่มบริษัทกัลฟ์ โดยยอมถือหุ้นในสัดส่วน30% น้อยกว่ากลุ่มกัลฟ์ที่ถือในสัดส่วน70% ทั้งๆที่ ปตท.เป็นบริษัทขนาดใหญ่และมีประสบการณ์ในการพัฒนาท่าเรือและคลังLNG ว่า โครงการดังกล่าวเป็นการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน(PPP)ที่รัฐอยากให้เอกชนเข้ามาลงทุนในสัดส่วนที่สูงกว่ารัฐ โดยเฉพาะธุรกิจLNG เพื่อให้เกิดการแข่งขัน ในขณะที่ ปตท.เองก็มีการลงทุนคลังLNGอยู่แล้ว 2แห่งรองรับการนำเข้าถึง 19 ล้านตันต่อปีในอนาคต หรือคำนวณเป็นก๊าซฯเทียบ ลูกบาศก์ฟุตต่อวัน คิดเป็นครึ่งหนึ่งของความต้องการใช้ก๊าซทั้งหมดของประเทศแล้ว โดยเพียงพอป้อนความต้องการใช้ก๊าซฯ สำหรับโรงไฟฟ้าตามแผนPDP 2018 ดังนั้น การลงทุนสร้างคลังLNGแห่งใหม่จึงต้องการกระจายความเสี่ยง
นอกจากนี้ การที่ปตท.ตัดสินใจร่วมลงทุนกับกลุ่มกัลฟ์ แทนเอกชนรายอื่น เนื่องจากกัลฟ์เป็นผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ หรือไอพีพี ที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า จำนวน2โรงรวม 5พันเมกะวัตต์ ทำให้มีความต้องการใช้ก๊าซฯในอนาคตจำนวนมาก ดังนั้นการร่วมทุนกับกลุ่มกัลฟ์ จึงน่าจะมีความเหมาะสมมากกว่ากลุ่มผู้ประกอบการที่ไม่มีดีมานด์ การใช้ก๊าซ
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า กลุ่มกิจการร่วมค้ากัลฟ์และพีทีที แทงค์ (บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด)ซึ่งเป็นบริษัทลูกของปตท. ได้ยื่นซองข้อเสนอโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะ 3 (ช่วงที่1) มูลค่าโครงการรวม 55,400 ล้านบาท โดยจะมีการสร้างคลังLNG ใหม่ราว 5 ล้านตันต่อปี