กองทุนน้ำมันทำสถิติใหม่ติดลบสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 107,601 ล้านบาท

465
N1022
- Advertisment-

กองทุนน้ำมันทำสถิติใหม่ติดลบสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 107,601 ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 3 ก.ค. 65)​ โดยตัวเลขที่ติดลบจะยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากภาระที่ต้องชดเชยราคาดีเซลลิตรละ 7.64 บาทต่อลิตร และชดเชยLPG ที่ 11.75 บาทต่อกิโลกรัม ชี้นโยบายรัฐที่ช่วยดีเซลแต่ไม่ช่วยกลุ่มเบนซิน ทำราคาแก๊สโซฮอล์95 แตกต่างจากดีเซล ถึงลิตรละ 15.52 บาท

นายวิศักดิ์ วัฒนศัพท์ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เปิดเผยถึงประมาณการฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงปัจจุบัน ณ วันที่ 3 กรกฎาคม 2565 ติดลบ 107,601 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นบัญชีน้ำมัน ติดลบ 69,718 ล้านบาท และบัญชีก๊าซ LPG ติดลบ 37,883 ล้านบาท

โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ได้พิจารณาทบทวนราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลประจำสัปดาห์ โดยมีมติให้คงราคาน้ำมันดีเซลไว้ที่ลิตรละ 34.94 บาท เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของประชาชนในช่วงเวลานี้ โดยเป็นการตรึงราคาต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 3

- Advertisment -

นายวิศักดิ์ กล่าวว่าสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในตลาดโลกยังมีความผันผวนค่อนข้างสูง โดยราคาน้ำมันดีเซลเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2565 อยู่ที่ 172.77 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากความต้องการมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่องจากอุปสงค์ในสหรัฐฯ และการผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ของจีนที่ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ ในเมืองเซี่ยงไฮ้และปักกิ่งกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง และการเพิ่มกำลังผลิตน้ำมันมากกว่าเดิมของกลุ่มโอเปกพลัส

แต่ในช่วงปลายเดือนมิถุนายน ราคาน้ำมันดีเซลเริ่มปรับตัวลดลงเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2565 อยู่ที่ 155.45เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากจากความกังวลเศรษฐกิจชะลอตัว หลังธนาคารกลางทั่วโลกปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อลดความร้อนแรงของอัตราเงินเฟ้อ โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงถึง 3.4% ในช่วงปลายปี 65 จากปัจจุบันที่ 1.50 – 1.75%

ทั้งนี้ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2565 ได้ออกมาตรการลดค่าครองชีพให้กับประชาชนรอบใหม่ โดยในส่วนของราคาน้ำมันดีเซลมีมาตรการอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลร้อยละ 50 ในส่วนที่ราคาขายสูงกว่า 35 บาทต่อลิตรเป็นเวลา 3 เดือน (กรกฎาคม – กันยายน 2565)

ผู้สื่อข่าวศูนย์ข่าว​พลังงาน​( Energy News​Center-ENC​ )​ รายงานว่า
ในโครงสร้างราคาน้ำมันตามข้อมูลจากเว็บไซต์​ ของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.)​ ณ วันที่ 4 ก.ค.65 นั้น กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงยังคงมีภาระต้องเข้าไปชดเชยราคาดีเซล อยู่ลิตรละ 7.64 บาท และชดเชยราคา LPG อยู่ที่ 11.75 บาทต่อกิโลกรัม ในขณะที่มีรายได้จากน้ำมันเบนซิน95 ที่ผู้ค้าต้องนำส่งเข้ากองทุนน้ำมัน ลิตรละ 7.18 บาท ทำให้ฐานะกองทุนน้ำมันจะยังติดลบเพิ่มสูงขึ้นทำลายสถิติไปเรื่อยๆ เนื่องจากยังมีรายจ่ายที่มากกว่ารายได้

โดยการที่กองทุนน้ำมันไม่สามารถกู้เงินจากสถาบันการเงินได้เนื่องจากรัฐไม่สามารถเข้าไปค้ำประกันเงินกู้ได้ ทำให้การปลดภาระหนี้ของกองทุนน้ำมันจะต้องกลับมาทยอยเก็บเงินจากผู้ใช้ดีเซลคืนในภายหลังในจังหวะที่ราคาดีเซลปรับตัวลดลง ซึ่งจะใช้ระยะเวลานานพอสมควร เพราะยอดติดลบสูงเกิน 1 แสนล้านบาท

ผู้สื่อข่าว​รายงานด้วยว่านโยบายรัฐที่ใช้กลไกภาษีสรรพสามิตและกองทุนน้ำมันเข้ามาช่วยเหลือราคาดีเซล แต่ปล่อยราคาขายกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล์​ที่กลุ่มผู้ใช้เป็นรถจักรยานยนต์ถึง 21 ล้านคัน ปรับสูงขึ้นได้ตามกลไกตลาด ทำให้ ผู้ใช้แก๊สโซฮอล์95 ต้องซื้อน้ำมันแพงกว่าผู้ใช้ดีเซล ถึงลิตรละ 9.61 บาท (ราคาขายปลีกลบด้วยราคาหน้าโรงกลั่น )​ ทั้งๆที่ราคาหน้าโรงกลั่นของแก๊สโซฮอล์ 95 ถูกกว่าดีเซลถึงลิตรละ 5.91 บาท หรือมีส่วนต่างระหว่างกันประมาณ ลิตรละ 15.52 บาท

Advertisment