คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) เตรียมหารือสัปดาห์หน้าสรุปแนวทางช่วยเหลือราคาดีเซลหลังสิ้นสุดมาตรการลดภาษีดีเซล 5 บาทต่อลิตรในวันที่ 20 ก.ค. 2566 เบื้องต้นคาดนำเงินกองทุนฯ ไปชดเชยแทน เป็นเวลา 2 เดือน ก่อนเสนอรัฐบาลใหม่พิจารณาต่ออายุลดภาษีดีเซลอีกรอบ เหตุสถานะกองทุนฯ ยังคงติดลบอยู่ 55,008 ล้านบาท ชี้หากยังไม่ได้รัฐบาลใหม่ ต้องส่งสัญญาณประชาชนช่วยกันประหยัดหรือพิจารณาแนวทางปรับขึ้นราคาดีเซลไม่เกิน 33 บาทต่อลิตร ทั้งนี้ขึ้นกับปัจจัยด้านราคาน้ำมันโลก เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ย และเงินกองทุนฯ ที่เหลืออยู่ด้วย
ผู้สื่อข่าวศูนย์ข่าวพลังงาน (Energy News Center -ENC) รายงานว่า คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง(กบน.) เตรียมหารือสัปดาห์หน้า เพื่อเตรียมความพร้อมบริหารราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หลังมาตรการลดภาษีดีเซล 5 บาทต่อลิตรจะสิ้นสุดในวันที่ 20 ก.ค. 2566 นี้ โดยจะพิจารณาบนพื้นฐานการรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้ผันผวนจนกระทบต่อประชาชนและระบบเศรษฐกิจประเทศ
ทั้งนี้จากกระแสข่าวที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตีความว่ารัฐบาลรักษาการไม่มีอำนาจตัดสินใจให้คงมาตรการลดภาษีดีเซล 5 บาทต่อลิตรได้อีกต่อไป ดังนั้นหลังสิ้นสุดมาตรการดังกล่าวในวันที่ 20 ก.ค. 2566 นี้ ภาษีดีเซลจะต้องกลับมาเก็บตามเดิม และกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอาจต้องเข้ามาดูแลราคาดีเซลต่อไป
อย่างไรก็ตามเบื้องต้น กบน. อาจจะเข้ามาดูแลราคาดีเซล โดยใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามาพยุงราคาดีเซลไว้ประมาณ 2 เดือน เพื่อรอรัฐบาลใหม่มาพิจารณาว่าจะลดภาษีดีเซลต่อหรือไม่ และเป็นการส่งสัญญาณให้ประชาชนรับทราบสถานการณ์ที่แท้จริง และช่วยกันประหยัดการใช้น้ำมันอีกครั้ง
โดยระหว่าง 2 เดือนแรกนี้ ราคาดีเซลจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยยังคงจำหน่ายอยู่ 31.94 บาทต่อลิตร แต่หลังจากนั้นหากรัฐบาลใหม่ยังจัดตั้งไม่สำเร็จ หรือ ได้รัฐบาลใหม่แต่ไม่อนุมัติการลดภาษีดีเซลอีก ทาง กบน. จะต้องหันกลับมาดูเงินกองทุนฯ ที่เหลืออยู่ว่าเพียงพอตรึงราคาดีเซลได้ต่อหรือไม่ หรือจะต้องปรับขึ้นราคาบ้าง แต่จะพยายามไม่ให้เกิน 33 บาทต่อลิตร
อย่างไรก็ตามจากข้อมูลกองทุนน้ำมันฯ พบว่า ปัจจุบันกองทุนฯ เรียกเก็บเงินจากผู้ใช้ดีเซลอยู่ 4 บาทต่อลิตร หากปรับขึ้นภาษี 5 บาทต่อลิตร กองทุนฯ จะต้องใช้เงินที่เรียกเก็บจากผู้ใช้ดีเซล 4 บาทต่อลิตร รวมกับเงินกองทุนฯ ที่มีเงินไหลเข้า 357 ล้านบาทต่อวัน มาชดเชยภาษีดีเซลดังกล่าว เพื่อไม่ให้ราคาขายปลีกดีเซลเปลี่ยนแปลง ดังนี้ผู้ใช้น้ำมันกลุ่มเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ และผู้ใช้ก๊าซหุงต้ม (LPG) อาจต้องกลับมาช่วยพยุงราคาดีเซลด้วย เนื่องจากน้ำมันดีเซลเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจประเทศ
สำหรับเงินไหลเข้ากองทุนฯ 357 ล้านบาทต่อวัน เป็นเงินที่เรียกเก็บจากผู้ใช้น้ำมันกลุ่มเบนซิน-แก๊สโซฮอล์รวม 78.86 ล้านบาทต่อวัน, เงินเรียกเก็บจากผู้ใช้และผู้ค้า LPG 22.74 ล้านบาทต่อวัน และเงินเรียกเก็บจากผู้ใช้ดีเซล 257.71 ล้านบาทต่อวัน
แต่อัตราชดเชยราคาดีเซลภายหลังสิ้นสุดมาตรการลดภาษีดีเซลจะมีความชัดเจน ภายหลังทราบทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด จะสรุปผลในสัปดาห์หน้าและราคาน้ำมันดิบโลกที่จะเกิดขึ้น ซึ่งจะทำให้กองทุนฯ ทราบรายรับ รายจ่าย และแนวทางการชดเชยราคาดีเซลในระยะต่อไป
ทั้งนี้ปัจจุบันกองทุนฯ ยังอยู่ในสถานะเงินในบัญชีติดลบ จากการชดเชยราคาน้ำมันและ LPG ช่วงวิกฤติราคาพลังงานในปี 2565 ที่ผ่านมา โดยล่าสุด ณ วันที่ 2 ก.ค. 2566 สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) ได้รายงานสถานะกองทุนฯ ล่าสุดติดลบ 55,008 ล้านบาท ซึ่งมาจากบัญชีน้ำมันติดลบ 9,180 ล้านบาท และบัญชี LPG ติดลบ 45,828 ล้านบาท