ผลการประชุม กกพ.ไฟเขียวให้ลดค่าไฟฟ้าลงอีก 7.08 สตางค์ต่อหน่วยตาม มติอนุกรรมการและข้อเสนอของ กฟผ. ที่มีหนังสือยืนยันว่ายังสามารถบริหารจัดการสภาพคล่องและความสามารถในการชำระคืนหนี้เฉพาะช่วง พ.ค.-ส.ค. 2566 ได้ อย่างไรก็ตาม การพิจารณาค่าเอฟที งวด ก.ย.- ธ.ค.2566 จะต้องมีการพิจาณาความเสี่ยงสภาพคล่องของ กฟผ. อีกครั้ง
นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.)ในฐานะโฆษก กกพ.เปิดเผยถึงผลการประชุม กกพ. ครั้งที่ 15/2566(ครั้งที่843)เมื่อวันที่ 24 เม.ย.2566 ว่า ที่ประชุมเห็นชอบตามมติของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลการปรับอัตราค่าบริการไฟฟ้า ที่มีนายสหัส ประทักษ์นุกูล กรรมการ กกพ.เป็นประธาน ซึ่งประชุมเมื่อวันที่ 21 เม.ย.2566 ที่ผ่านมา ที่เห็นชอบให้ปรับลดอัตราค่าไฟฟ้าผันแปร หรือ ค่าเอฟที งวดเดือน พ.ค.-ส.ค.2566 ลง อีก 7.08 สตางค์ต่อหน่วย จาก 98.27 สตางค์ต่อหน่วย เหลือ 91.19 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าโดยเฉลี่ยปรับลดลงจากเดิมที่อนุมัติไว้ 4.77 บาทต่อหน่วย เหลือ 4.70 บาทต่อหน่วย
โดย กฟผ.ได้แจ้งยืนยันว่าสามารถยืดระยะเวลาการทยอยคืนหนี้ที่รับภาระค่าเอฟทีแทนประชาชน จากที่ต้องคืน 5 งวด โดยสิ้นสุด เดือนธันวาคม 2567 เป็น 6 งวด คือจะสิ้นสุด เดือนเมษายน 2568 ซึ่งทำให้ วงเงินที่ต้องจ่ายคืนลดลงจาก 22,781 ล้านบาท หรือประมาณ 34.90 สตางค์ต่อหน่วย เหลือ 18,158 ล้านบาท หรือ27.82 สตางค์ต่อหน่วย คิดเป็นค่าเอฟทีที่ลดลงได้ 7.08 สตางค์ต่อหน่วย
โดยผู้สื่อข่าวศูนย์ข่าวพลังงาน ( Energy News Center -ENC ) รายงานว่า ผู้ว่าการ กฟผ. นายบุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร ได้มีหนังสือถึงประธาน กกพ.เมื่อวันที่ 18 เม.ย. 2566 ยืนยันว่าสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบถึงสภาพคล่องทางการเงินของ กฟผ. ได้ เฉพาะช่วงเดือน พ.ค.-ส.ค.2566 เท่านั้น ในการช่วยปรับลดค่าเอฟที ลงให้ประชาชนได้ 7.08 สตางค์ต่อหน่วย โดยในการพิจารณาค่าเอฟที งวด ก.ย.- ธ.ค.2566 จะต้องมีการพิจารณาความเสี่ยงด้านสภาพคล่องของ กฟผ. อีกครั้ง จากตัวเลขต้นทุนค่าเชื้อเพลิงที่เกิดขึ้นจริง
โดยผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ซึ่งอยู่ในคณะอนุกรรมการฯแสดงความเห็นเป็นห่วงสภาพคล่องทางการเงินของ กฟผ.ที่ต้องแบกรับภาระค่าเอฟทีตามนโยบายของภาครัฐ เนื่องจากช่วงต้นปี 2566 ที่ผ่านมา กฟผ.ได้ขอผ่อนผันการนำส่งเงินให้กระทรวงการคลังไปแล้ว ซึ่งในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 กฟผ. จะต้องนำเงินรายได้ส่งกระทรวงการคลังประมาณ 16,800 ล้านบาท โดยนำส่งครึ่งปีแรกในเดือน ต.ค.2566 ประมาณ 9,000 ล้านบาท และ กฟผ.มีแผนงานในการเบิกจ่ายงบลงทุนในปี 2566 กว่า 30,000 ล้านบาท ดังนั้น กฟผ. จึงต้องบริหารจัดการกระแสเงินสดในภาพรวมให้มีความเหมาะสม
ในขณะที่ทางผู้แทนจากสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) มีความกังวลว่าหาก กฟผ. มีปัญหาการขาดสภาพคล่อง และไม่สามารถชำระหนี้เงินกู้ที่ครบกำหนด จนต้องมีการขยายเวลาชำระหนี้ออกไป จะส่งผลกระทบต่อดอกเบี้ยที่สูงขึ้นและส่งผลกระทบต่อต้นทุนการเงินและอันดับความน่าเชื่อถือ หรือ Credit Rating ของ กฟผ.