สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) เปิดไทม์ไลน์โรงไฟฟ้าสีเขียว คาดการรับซื้อไฟฟ้ารอบแรก 5,203 เมกะวัตต์ เสร็จพร้อมประกาศผล 5 เม.ย. 2566 และเตรียมเปิดรอบ 2 ต่ออีก 3,668.5 เมกะวัตต์ ภายในปี 2566 นี้ ส่วนราคาไฟฟ้าสีเขียว จะประกาศได้ภายในไตรมาส 3 ปี 2566 และเริ่มใช้ไฟฟ้าสีเขียวจากโรงไฟฟ้าใหม่ได้จริงช่วงปลายปี 2567 ระบุต้องเร่งดำเนินการเพื่อดึงดูดนักลงทุน
นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษก กกพ. เปิดเผยความคืบหน้าโครงการไฟฟ้าสีเขียวว่า “โครงการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ปี 2565 – 2573 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง พ.ศ. 2565” คาดว่าจะประกาศผลผู้ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการได้ในวันที่ 5 เม.ย. 2566 นี้ และหากไม่มีปัญหาใดๆ ทาง กกพ.คาดว่าจะเริ่มเปิดรับซื้อไฟฟ้าสีเขียวรอบ 2 ต่อทันที ในปริมาณไฟฟ้า 3,668.5 เมกะวัตต์ โดยยืนยันว่าจะเปิดดำเนินการภายในปี 2566 นี้แน่นอน
โดยโครงการไฟฟ้าสีเขียวรอบแรก เปิดรับซื้อ 5,203 เมกะวัตต์ แบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่ พลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน (โซลาร์ฟาร์ม), ก๊าซชีวภาพ (น้ำเสีย/ของเสีย), พลังงานลม และพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน
ส่วนการกำหนดราคาไฟฟ้าสีเขียวนั้น ขณะนี้ได้เปิดรับฟังความเห็น “(ร่าง) หลักเกณฑ์ การกำหนดอัตราค่าบริการไฟฟ้าสีเขียว (Utility Green Tariff หรือ UGT)” เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยขั้นตอนต่อไปจะต้องนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (บอร์ด กกพ.) โดยบอร์ด กกพ. จะพิจารณาอัตราที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) เสนอไว้ ซึ่งจะต้องพิจารณาราคาที่เหมาะสมและเป็นต้นทุนที่แท้จริง ที่ได้รวมค่าใบรับรองการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificate: REC) ไว้แล้ว และจะเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) เพื่อรับทราบต่อไป
ทั้งนี้คาดว่าจะสรุปราคาค่าบริการไฟฟ้าสีเขียวได้กลางปี 2566 นี้ และจะออกประกาศได้ภายในไตรมาส 3 หรือภายในเดือน ก.ค.-ก.ย.2566 โดย กกพ.จะต้องเร่งดำเนินการเนื่องจากต้องการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งผู้ที่ต้องการใช้ไฟฟ้าสีเขียวส่วนใหญ่จะต้องการโรงไฟฟ้าใหม่และมีสัญญาการจองซื้อไฟฟ้าสีเขียวระยะยาวเป็นหลัก
ส่วนหลักเกณฑ์อัตราค่าไฟฟ้าสีเขียวนั้น กกพ.จะยึดตามหลักเกณฑ์ที่เสนอเข้า กพช.ไปแล้ว ซึ่งแบ่งเป็น 2 รูปแบบคือ 1.แบบที่ผู้ใช้ไฟฟ้าไม่ต้องการเจาะจงแหล่งที่มาของไฟฟ้า (UGT1) และ 2. แบบที่ผู้ใช้ไฟฟ้าต้องการเจาะจงแหล่งที่มาของไฟฟ้า (UGT2)
โดยรูปแบบแรก UGT1 (ไม่เจาะจงที่มา) เป็นการให้บริการเกี่ยวกับใบรับรองการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (REC) ของโรงไฟฟ้าเดิมที่รัฐมีกรรมสิทธิ์มาให้บริการร่วมกับการให้บริการพลังงานไฟฟ้า และเป็นการให้บริการในลักษณะที่ผู้ใช้ไฟฟ้าไม่ต้องเจาะจงแหล่งที่มาของไฟฟ้าและ REC ในการขอรับบริการ จึงเป็นอัตราค่าบริการส่วนเพิ่ม (Premium) เพิ่มเติมจากอัตราค่าบริการตามบิลค่าไฟฟ้าปกติ โดยผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถสมัครขอรับบริการในปริมาณต่ำกว่า 1 REC ได้ (1 REC = 1,000 หน่วย) และมีระยะเวลาการขอรับบริการสั้น (0-1 ปี)
รูปแบบที่สอง UGT2 (เจาะจงที่มา) เป็นการเปิดให้ผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีการใช้ไฟฟ้ามากและต้องการขับเคลื่อนการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนในระบบไฟฟ้าเข้ามารับภาระการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนใหม่ โดยมีสัญญาการรับบริการเป็นเวลานาน (10-25 ปี) และมีการออกแบบโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าใหม่ เนื่องจากมีการซื้อพลังงานไฟฟ้าพร้อม REC จากแหล่งพลังงานแบบเจาะจงที่มาในระยะยาว เข้ามาแทนพลังงานไฟฟ้าเดิม และมีการให้บริการที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
ทั้งนี้คาดว่านักลงทุนต้องการอัตราค่าไฟฟ้าแบบ UGT2 ที่เป็นการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนใหม่ และมีสัญญาการซื้อไฟฟ้าระยะยาว เนื่องจากสามารถยืนยันเรื่องไฟฟ้าสะอาดและเป็นมาตรฐานสากลได้ดีกว่า ซึ่งตามกำหนดเวลาของการจัดทำอัตราค่าไฟฟ้าสีเขียวจะประกาศได้ภายในไตรมาส 3 ของปี 2566 นี้ แต่คาดว่าจะสามารถเริ่มใช้ไฟฟ้าสีเขียวได้จริงในปี 2567 เนื่องจากโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนที่จะสร้างขึ้นใหม่จะผลิตไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์(COD) ได้ตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป