กกพ.ชุดใหม่ ยอมปล่อยค่าไฟ งวดเดือนมกราคม – เมษายน 2562 ขึ้น 4.30 สตางค์ต่อหน่วย โดยถือเป็นการปรับค่าไฟในส่วนของค่าFtขึ้นครั้งแรกในรอบ16เดือน ตามต้นทุนราคาเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติ ที่เพิ่มถึง12.67 บาท ต่อล้านบีทียู เผยหากไม่มีการบริหารจัดการช่วยลดผลกระทบ ค่าไฟจะต้องปรับเพิ่มถึง 24 สตางค์ต่อหน่วย พร้อมส่งสัญญาณประชาชนปรับตัวรับมือช่วงค่าไฟขาขึ้น
นางสาวนฤภัทร อมรโฆษิต เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษก กกพ. เปิดเผยว่า คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)ชุดใหม่ที่มีนายเสมอใจ ศุขสุเมฆ เป็นประธาน ได้มีมติให้เรียกเก็บอัตราค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่า Ft) สำหรับการเรียกเก็บงวดเดือนมกราคม – เมษายน 2562 จำนวน -11.60 สตางค์ต่อหน่วย เมื่อเทียบกับค่า Ft ที่เรียกเก็บในปัจจุบัน -15.90 สตางค์ต่อหน่วย ปรับเพิ่มขึ้นจากงวดก่อน 4.30 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งเป็นไปตามที่คาดการณ์ในการพิจารณาค่า Ft ครั้งก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยราคาเชื้อเพลิงหลักในการผลิตกระแสไฟฟ้าถีบตัวสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
สำหรับการคาดการณ์ปัจจัยราคาเชื้อเพลิงสำหรับการผลิตไฟฟ้าในงวดเดือนมกราคม – เมษายน 2562 เทียบกับงวดเดือนกันยายน – ธันวาคม 2561 ซึ่งประกอบด้วย ราคาก๊าซ ได้ปรับเพิ่มขึ้นจาก 286.83 บาทต่อล้านบีทียู มาเป็น 299.50 บาทต่อล้านบีทียู เปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 12.67 บาทต่อล้านบีทียู
ราคาน้ำมันเตา ได้ปรับเพิ่มขึ้นจาก 15.69 บาท ต่อลิตร มาเป็น 16.86 บาทต่อลิตร เปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 1.17 บาทต่อลิตร ราคาน้ำมันดีเซลได้ปรับเพิ่มขึ้นจาก 19.68 บาทต่อลิตร มาเป็น 23.16 บาทต่อลิตร เปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 3.48 บาทต่อลิตร ราคาถ่านหินนำเข้า ได้ปรับเพิ่มขึ้นจาก 2,583.04 บาทต่อตัน มาเป็น 2,697.40 บาทต่อตัน เปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 114.36 บาทต่อตัน
การซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ ได้ปรับเพิ่มขึ้นจาก 1.73 บาทต่อหน่วย มาเป็น 1.81 บาทต่อหน่วย เปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 0.08 บาทต่อหน่วย
ทั้งนี้หากพิจารณาปัจจัยราคาเชื้อเพลิง สำหรับการผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นทั้งหมดมาคำนวณโดยที่ไม่มีการบริหารจัดการ จะส่งผลให้อัตราค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่า Ft) สำหรับการเรียกเก็บงวดเดือนมกราคม – เมษายน 2562 เพิ่มขึ้นสูงถึง 24 สตางค์ต่อหน่วย เมื่อเทียบกับค่า Ft ที่เรียกเก็บในปัจจุบัน -15.90 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้เรียกเก็บค่า Ft ที่เคยติดลบจะกลับมาเป็นบวกเพิ่มขึ้นเป็น 8.10 สตางค์ต่อหน่วย
นางสาวนฤภัทร กล่าวด้วยว่า จากปัจจัยผลกระทบของการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาเชื้อเพลิง สำหรับการผลิตไฟฟ้า ซึ่ง กกพ. คาดการณ์ว่าราคาเชื้อเพลิงจะยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และยืนอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าในระยะต่อไปยังคงอยู่ในภาวะขาขึ้น อย่างไรก็ตาม กกพ. ได้ดำเนินการมาตรการทั้งการบริหารจัดการ และมาตรการทางการเงินเข้าไปดูแลการปรับตัวขึ้นของค่าไฟให้เป็นไปได้อย่างราบรื่น ซึ่งประกอบด้วย มาตรการการเสริมประสิทธิภาพในการบริหารจัดการต้นทุนเชื้อเพลิงที่จำเป็นสำหรับการผลิตไฟฟ้า (Generation Mix) ได้แก่ ประสานงานกับ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในการศึกษา วิเคราะห์ การลดสัดส่วนนำเข้า ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) และ ประสานงานกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในการพิจารณาแหล่งผลิตไฟฟ้าที่มีความเหมาะสมได้แก่ การเพิ่มปริมาณการซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน และพิจารณาผลิตไฟฟ้าด้วยเชื้อเพลิงต้นทุนต่ำ
ประการที่สอง มาตรการทางการเงินและบัญชี เพื่อการบริหารจัดการค่า Ft โดย กกพ. มีมติให้นำเงินสะสมจากการเรียกเก็บค่า Ft ที่ผ่านๆ มา จำนวน 3,298 ล้านบาท รวมกับเงินบริหาร Ft ซึ่งมีที่มาจากส่วนลดและค่าปรับจากผู้ประกอบการ จำนวน 5,547 ล้านบาท และการเรียกเม็ดเงินลงทุน (Clawback) จากการไฟฟ้าที่ไม่ได้ลงทุนตามแผนอีกจำนวน 1,522 ล้านบาท เพื่อนำมาชดเชยต้นทุนการผลิตไฟฟ้า และลดความผันผวนการปรับเพิ่มค่า Ft ที่ส่งผลกระทบต่อค่าบริการไฟฟ้า
พร้อมกันนี้ ได้ทำการปรับประมาณการค่า Ft ให้สอดคล้องกับภาวะการณ์เปลี่ยนแปลงราคาน้ำมันในตลาดโลกที่มีแนวโน้มลดลง และพิจารณากำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเมื่อเทียบเงินดอลลาร์สหรัฐ ที่อ่อนค่าลงให้สอดคล้องกันกับภาวะการณ์ในปัจจุบัน
ทั้งนี้จากการประกาศปรับเพิ่มค่า Ft ที่เรียกเก็บงวดเดือนมกราคม – เมษายน 2562 จำนวน -11.60 สตางค์ต่อหน่วย จะทำให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยผู้ใช้ไฟฟ้าอยู่ที่ 3.6396 บาทต่อหน่วย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) จาก 3.5966 บาทต่อหน่วย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)