เอ็กโก กรุ๊ป เดินหน้าสู่ธุรกิจก๊าซธรรมชาติเหลว(LNG) เป็นครั้งแรก เตรียมลงนามความร่วมมือกับบริษัท เอสเค อีแอนด์เอส จำกัด ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญธุรกิจ LNG ของเกาหลีใต้ ช่วงไตรมาสแรกของปี 2562 หวังมีโอกาสเข้าร่วมโครงการคลัง LNG ลอยน้ำ(FSRU) ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย 5 ล้านตันต่อปี พร้อม เตรียมงบลงทุนโครงการตามแผนปี2562ไว้ 30,000 ล้านบาท
นายจักษ์กริช พิบูลย์ไพโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอ็กโก กรุ๊ป เปิดเผยว่า เอ็กโก เตรียมลงนามความร่วมมือด้านธุรกิจก๊าซธรรมชาติเหลว(LNG) กับบริษัท เอสเค อีแอนด์เอส จำกัด ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจ LNG ของประเทศเกาหลีใต้ โดยคาดว่าจะลงนามระหว่างกันได้ในช่วงไตรมาส1 ของปี 2562 นี้ ซึ่งเป็นความร่วมมือต่อเนื่องหลังจากเอ็กโกเข้าซื้อหุ้น 49% ของบริษัท พาจู เอ็นเนอร์ยี่ เซอร์วิส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ บริษัท เอสเคฯ ซึ่งดำเนินธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม เชื้อเพลิง LNG ที่จังหวัดย็องกี ประเทศเกาหลีใต้ ส่งผลให้เอ็กโกถือหุ้น 49% และ บริษัท เอสเคฯถือหุ้นในบริษัทฯดังกล่าว 51% โดยลงนามสัญญาซื้อขายหุ้นไปแล้วเมื่อวันที่ 15 พ.ย. 2561
ส่วนการลงนามธุรกิจ LNG ดังกล่าว จะส่งผลให้เอ็กโก เข้าสู่ธุรกิจ LNG เป็นครั้งแรก รวมทั้งเอ็กโกและบริษัท เอสเคฯ เห็นศักยภาพโอกาสเติบโตทางธุรกิจในอนาคต โดยในประเทศไทยมีแนวโน้มจะใช้ก๊าซ LNG สูงขึ้น ตามแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2561-2580 หรือ PDP2018 ประกอบกับการให้โควต้าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) ดำเนินการนำร่องเปิดเสรีก๊าซธรรมชาติ โดยให้โควต้านำเข้า 1.5 ล้านตันต่อปี และให้ กฟผ.ดำเนินโครงการ Floating Storage and Regasification Unit (FSRU) ในอ่าวไทยตอนบน 5 ล้านตันต่อปี
ดังนั้นบริษัท เอสเคฯ ซึ่งมีความถนัดด้านการทำคลัง LNG ลอยน้ำหรือ FSRU อยู่แล้ว จึงได้เลือกเอ็กโกเป็นพันธมิตร อย่างไรก็ตามในการประมูลการนำเข้า LNG 1.5 ล้านตัน ของ กฟผ.นั้น ทางเอ็กโกไม่ได้เข้าร่วมประมูลแต่อย่างใดเนื่องจากเพิ่งเริ่มจับมือเป็นพันธมิตรกับบริษัท เอสเคฯ
นายจักษ์กริช กล่าวด้วยว่า สำหรับในปี 2562 นี้ เอ็กโกได้ตั้งงบลงทุนไว้ 30,000 ล้านบาท สำหรับดำเนินโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง 3 โครงการ รวมมูลค่า 7,350 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการโรงไฟฟ้าไซยะบุรี ใน สปป.ลาว ขนาดไฟฟ้าตามสัญญาซื้อขาย 1,220 เมกะวัตต์ วงเงิน 850 ล้านบาท กำหนดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ ไตรมาส 4ปี 2562 ,โครงการโรงไฟฟ้าซานบัวนาเทวทูรา ที่ฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าถ่านหิน ขนาดไฟฟ้าตามสัญญาซื้อขาย 445 เมกะวัตต์ วงเงิน 4,000 ล้านบาท และโครงการน้ำเทิน1 ขนาดไฟฟ้าตามสัญญาซื้อขาย 514.30 เมกะวัตต์ กำหนดเดินเครื่อง ไตรมาส 2 ปี 2565 วงเงิน 2,500 ล้านบาท นอกจากนี้ได้ใช้เงินซื้อหุ้นโรงไฟฟ้าพาจู เกาหลีใต้แล้ว 22,650 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามเอ็กโกยังมีกระแสเงินสดอีก 15,000 ล้านบาท ที่พร้อมสำหรับลงทุนโครงการใหม่ๆ ซึ่งขณะนี้มีโครงการที่มีศักยภาพอีก 2 โครงการที่อยู่ระหว่างการเจรจา คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในปี 2562 นี้ เบื้องต้นเป็นโรงไฟฟ้าเกี่ยวกับพลังงานทดแทนและอยู่ในประเทศแถบเอเชียแปซิฟิก
อย่างไรก็ตามในอนาคตคาดว่าสัดส่วนการลงทุนโรงไฟฟ้าในต่างประเทศจะใกล้เคียงกับในประเทศ ในช่วง 4-5 ปีข้างหน้า เนื่องจากเห็นว่าแผนPDP2018 มีอัตราการเติบโตของการผลิตไฟฟ้าไม่สูงมาก เนื่องจากเศรษฐกิจโลกซบเซาทำให้ปริมาณการใช้ไฟฟ้าลดลงไปด้วย และคู่แข่งมาก จึงต้องหันไปลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้น แต่จะยังเตรียมความพร้อมรองรับการประมูลโรงไฟฟ้าในประเทศไทยต่อไป หากภาครัฐเปิดประมูล เอ็กโกก็มีความพร้อมเสมอ สำหรับปัจจุบันสัดส่วนโรงไฟฟ้าของเอ็กโกที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้วแบ่งเป็นที่อยู่ในประเทศ 60.88% และต่างประเทศ 39.12%
สำหรับผลประกอบการของเอ็กโก กรุ๊ป ปี 2561 มีกำไรสุทธิ 21,073 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2560 จำนวน 9,255 ล้านบาท หรือคิดเป็น 78% หากพิจารณาเฉพาะกำไรจากการดำเนินงาน เอ็กโกมีกำไรจากการดำเนินงาน จำนวน 23,372 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 14,104 ล้านบาท หรือ 152% ซึ่งมีปัจจัยจากกำไรจากการขายสินทรัพย์ 3 แห่ง จำนวน 14,177 ล้านบาท ได้แก่ ขายหุ้นที่ถืออยู่ทั้งหมดใน บมจ.จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำ ภาคตะวันออก บจ.จีเดค และบจ.มาซินลอค พาวเวอร์ พาร์ทเนอร์ และมีกำไรจากการดำเนินงานปกติ จำนวน 9,195 ล้านบาท ลดลง 73 ล้านบาท