เอสพีซีจี ลงทุนโครงการโซลาร์รูฟท็อปขนาดกำลังการผลิต 2 เมกะวัตต์ ควบคู่ระบบเก็บพลังงาน(Energy Storage System ) วงเงินลงทุน160 ล้านบาท เพื่อขายไฟฟ้าเฉพาะช่วงเกิดความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (Peak) นำร่องในประเทศญี่ปุ่น ที่คาดว่าจะเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบได้ในไตรมาสแรกปี 2562 นี้โดยหากสามารถลดพีคไฟฟ้าได้สำเร็จจะเป็นโมเดลที่นำมาใช้ในไทยและประเทศกลุ่ม CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม)
นางวันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้นำร่องศึกษาโครงการ Kasuga Blue Energy Project with Kyushu University ขนาด 2 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา(โซลาร์รูฟท็อป)ร่วมกับระบบเก็บพลังงาน(Energy Storage System ) สำหรับผลิตและจัดเก็บกระแสไฟฟ้าไว้ขายในช่วงที่เกิดความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด(Peak) วงเงินลงทุนประมาณ 160 ล้าน โดยได้เริ่มติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์แล้วที่เมืองฟูกูโอกะ ประเทศญี่ปุ่น คาดว่าจะเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบในญี่ปุ่นได้ไตรมาสแรกของปี 2562
ทั้งนี้ หากโครงการที่ญี่ปุ่น ประสบความสำเร็จ ก็จะเป็นโมเดลที่ขยายมาในประเทศไทยและกลุ่มประเทศ CLMV(กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) เนื่องจากมองว่าเป็นโครงการที่เป็นประโยชน์ เพราะสามารถลดพีคไฟฟ้าของประเทศได้ รวมทั้งการขายไฟฟ้าเฉพาะในช่วงพีคจะได้ราคาค่าไฟฟ้าที่สูงกว่าช่วงปกติอีกด้วย
โครงการดังกล่าวถือเป็นหนึ่งในโครงการลงทุนขนาดใหญ่ในญี่ปุ่น 4 โครงการของบริษัท ได้แก่ 1. โครงการ Tottori Yonago Mega Solar Power Plant กำลังการผลิต 30 เมกะวัตต์ ณ เมืองทอตโตะริ ประเทศญี่ปุ่น 2. โครงการโซลาร์ฟาร์ม Ukujima Mega Solar Project ขนาดกำลังผลิต 480 เมกะวัตต์ ณ เกาะ Ukujima เมืองนางาซากิ ในประเทศญี่ปุ่น 3.โครงการโซลาร์ฟาร์ม ณ เมืองฟูกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น ขนาดกำลังการผลิต 65 เมกะวัตต์ และ4.โครงการ Kasuga Blue Energy Project with Kyushu University ขนาด 2 เมกะวัตต์
โดยคาดว่าโครงการที่ 1-3 ดังกล่าว จะใช้เงินไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้บริษัทฯอยู่ระหว่างการจัดทำแผนระดมทุนเพื่อเสนอคณะกรรมการ(บอร์ด)บริษัทฯต่อไป นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีแผนจะร่วมลงทุนโครงการโซลาร์ฟาร์ม ขนาด 100 เมกะวัตต์ ที่เมืองนางาซากิ ประเทศญี่ปุ่น ขณะนี้อยู่ขั้นตอนการระดมทุนและคาดว่าจะประกาศเปิดโครงการได้ช่วงไตรมาส 4 ปี 2561 นี้
ปัจจุบันบริษัทฯ มีกำลังการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์รวม แล้ว 260 เมกะวัตต์ โดยในปี 2561 บริษัทฯ มียอดขายโซลาร์รูฟท็อปคิดเป็นกำลังการผลิตรวม 50-60 เมกะวัตต์ และตั้งเป้ายอดขายเติบโต 10% ต่อปี นอกจากนี้ได้ตั้งเป้ารายได้รวมในปี 2563 ไว้ที่ 10,000 ล้านบาท เนื่องจากหลายโครงการในญี่ปุ่นเริ่มขายไฟฟ้าเข้าระบบและบริษัทฯ จะเริ่มรับรู้รายได้เพิ่มขึ้น
นางวันดี กล่าวว่า นอกจากนี้บริษัทฯ ได้ร่วมมือกับบริษัท SMA Solar Technology AG(SMA) จากประเทศเยอรมันนี ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องแปลงกระแสไฟฟ้า(Inverter) อุปกรณ์หลักในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ สำหรับใช้กับโครงการโซลาร์ฟาร์มทุกแห่งของบริษัทฯ และใช้ติดตั้งในโครงการโซลาร์รูฟท็อปให้กับลูกค้าของบริษัทฯ เนื่องจาก SMA เป็นบริษัทฯ ระดับสากลที่เชื่อมั่นในคุณภาพได้สูงสุด และ Inverter ยังมีประสิทธิภาพสูงและใช้ได้ยาวนานใกล้เคียงกับอายุแผงโซลาร์เซลล์ที่มีอายุถึงประมาณ 30 ปี
นอกจากนี้ยังได้แต่งตั้งให้บริษัท โซล่า เพาเวอร์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (SPE) ซึ่งเป็นบริษัทฯในเครือ เป็นผู้แทนจำหน่ายเครื่องแปลงกระแสไฟฟ้าอย่างเป็นทางการและให้บริษัท โซลาร์ เพาเวอร์ รูฟ จำกัด(SPR) เป็นตัวแทนจำหน่ายและให้บริการ ซึ่งมีผลตั้งแต่เดือน ก.ค. 2561 ที่ผ่านมา