หนึ่งในนโยบายของรัฐบาลภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของไทย ที่จะเร่งเจรจาปัญหาพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลระหว่าง ไทย-กัมพูชา จะมีส่วนสำคัญอย่างมากต่อการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานและการเติบโตทางเศรษฐกิจให้กับประเทศในระยะยาว
โดยนายเศรษฐา จะแถลงนโยบายนี้ต่อรัฐสภา พร้อมๆ กับนโยบายด้านอื่นๆ เพื่อให้ฝ่ายค้านได้ซักถามในรายละเอียด ในวันที่ 11-12 กันยายน นี้
ในความสำคัญที่ต้องเร่งการเจรจา เพราะเรื่องดังกล่าวมีกระบวนการและระยะเวลาในการเข้าไปสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ซึ่งกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน เคยประเมินไทม์ไลน์เบื้องต้นไว้ว่าหากเจรจาจบในปีนี้ อีก 10 ปี จึงจะผลิตก๊าซธรรมชาติจากพื้นที่ดังกล่าวขึ้นมาใช้ประโยชน์ได้
ดังนั้น ความสำเร็จของนโยบาย OCA ไทย-กัมพูชา เร็วหรือช้า จึงขึ้นอยู่กับทีมไทยแลนด์ ที่นำโดยนายเศรษฐา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีในกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ทั้ง ดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ, นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, และนายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ว่าจะทำงานให้สอดคล้องกันอย่างเป็นเอกภาพได้มากน้อยแค่ไหน ภายในกรอบวาระการทำงาน 4 ปีของรัฐบาล
ในขณะที่มุมมองของนักวิชาการอย่าง รองศาสตราจารย์ ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช รองผู้อำนวยการสถาบันเอเชียตะวันออกศึกษาฯ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเคยกล่าวไว้ในเวทีเสวนา ที่จัดโดยคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม ที่ผ่านมา นั้นเชื่อว่าความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลของไทย ที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ และรัฐบาลกัมพูชา ที่สมเด็จฮุนเซ็น ยังคงมีบทบาทสำคัญ น่าจะทำให้การเจรจา OCA ระหว่างไทยกับกัมพูชา เป็นไปได้อย่างราบรื่น
ดร.คุรุจิต นาครทรรพ อดีตปลัดกระทรวงพลังงาน ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ยืนยันในวงเสวนาเดียวกันว่า พื้นที่ OCA ไทย-กัมพูชา ซึ่งมีขนาดพื้นที่กว่า 26,000 ตารางกิโลเมตร มีลักษณะโครงสร้างทางธรณีวิทยาเป็นแอ่งที่เรียกว่า Pattani Basin ซึ่งเชื่อว่ามีศักยภาพที่จะสำรวจพบแหล่งก๊าซธรรมชาติ และแหล่งน้ำมันดิบในปริมาณสำรองที่ไม่น้อยไปกว่าที่สำรวจพบมาแล้วในเขตทางทะเลฝั่งไทย
ดังนั้นหากสามารถเร่งการเจรจาให้มีข้อยุติได้เร็วและเริ่มต้นที่จะเข้าไปดำเนินการสำรวจ จะช่วยแก้ปัญหาพลังงานราคาแพงให้กับทั้งไทยและกัมพูชาได้ในระยะยาว ทั้งนี้ในช่วงเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลที่มีการปล่อยคาร์บอน ไปสู่เชื้อเพลิงสะอาดเพื่อตอบโจทย์ Net Zero Emission ของประเทศ ก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ปล่อยคาร์บอนน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับถ่านหินและน้ำมัน จะยังมีความสำคัญต่อความต้องการใช้ไปอีกประมาณ 30 ปี
ผู้สื่อข่าวศูนย์ข่าวพลังงาน ( Energy News Center-ENC ) รายงานว่า กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ อยู่ระหว่างการจัดเตรียมข้อมูลเพื่อนำเสนอต่อ ดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ถึงข้อเสนอที่จะให้มีการเดินหน้าเจรจาเพื่อหาข้อยุติปัญหาพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยและกัมพูชา หรือ Overlapping Claims Area – OCA ตามกรอบ MOU 2544 ( MOU 2001 ) ที่มีกลไกการเจรจาภายใต้คณะกรรมการร่วมด้านเทคนิค ( Joint Technical Committee – JTC ) ไทย-กัมพูชา รวมทั้งคณะทำงานย่อยอีก 2 คณะ คือ คณะทำงานว่าด้วยการกำหนดพื้นที่พัฒนาร่วมทางทะเล มีอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมายเป็นหัวหน้าคณะ และคณะทำงานเกี่ยวกับระบอบพัฒนาร่วม มีอธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติเป็นหัวหน้าคณะ เพื่อจะไม่ต้องเริ่มนับหนึ่งกันใหม่ โดยคาดว่านายกรัฐมนตรี จะแต่งตั้งให้ ดร.ปานปรีย์ เป็นประธาน JTC ในฝั่งไทย ซึ่งการที่เรื่อง OCA ไทย-กัมพูชา ถูกบรรจุไว้เป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ในขณะที่ฝ่ายค้านอย่างพรรคก้าวไกล ในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง ก็ใส่เรื่องดังกล่าวไว้เป็นหนึ่งในนโยบายของพรรค ก็น่าจะเป็นเสียงสนับสนุนในสภา ที่ทำให้การทำงานเพื่อเจรจาของรัฐบาลมีความคืบหน้าไปได้
โดยหากทุกฝ่ายร่วมกันผลักดันให้นโยบาย OCA ไทย-กัมพูชา ของรัฐบาลเศรษฐา ประสบผลสำเร็จได้โดยเร็ว ประเทศจะมีพลังงานใช้ไม่ขาดแคลนในระยะยาว ด้วยราคาที่เหมาะสม เป็นธรรม ซึ่งส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตของทุกคน