เชฟรอนเดินหน้าลงทุนสร้างความมั่นคงด้านพลังงานในไทย และช่วยลดต้นทุนราคาพลังงานให้ประชาชน โดยจะมีการเริ่มต้นลงทุนการสำรวจในแปลง G2/65 ที่เพิ่งมีการลงนามในสัญญาแบ่งปันผลผลิตกับกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา และจะมีการขยายการลงทุนเพิ่มเติมในแหล่งไพลิน ( B12/27 ) ที่อยู่ระหว่างการยื่นขอขยายสัมปทานการผลิตอีก 10 ปี พร้อมแนะภาครัฐเจรจาผลักดันพื้นที่ OCA ไทย-กัมพูชา
นายชาทิตย์ ห้วยหงษ์ทอง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน เพื่อแสดงความมุ่งมั่นที่จะขยายการลงทุนด้านสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศไทย โดยชี้ให้เห็นว่า การผลิตปิโตรเลียมที่เพิ่มขึ้นในประเทศ ที่จะได้ทั้งก๊าซธรรมชาติ น้ำมันดิบ และคอนเดนเสท ซึ่งมีราคาถูกกว่าก๊าซธรรมชาติเหลว หรือ LNG ที่นำเข้าจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนที่กำลังเผชิญปัญหาพลังงานราคาแพง โดยที่รัฐยังได้ประโยชน์จากทั้งภาษีและค่าภาคหลวง นอกจากนี้ก๊าซธรรมชาติยังเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิลที่สะอาดที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับเชื้อเพลิงฟอสซิลอื่นๆ ซึ่งจะช่วยให้ไทยบรรลุเป้าหมายลดการปลดปล่อยคาร์บอนตามที่ได้ประกาศไว้อีกด้วย
ทั้งนี้ ประเทศไทยมีเป้าหมายบรรลุ Nationally Determined Contributions (NDC) ในปี 2030 เป้าหมาย Carbon Neutrality ในปี 2050 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ในปี 2065
โดยเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา ทางบริษัท เชฟรอน ออฟชอร์ (ประเทศไทย) ในฐานะเป็นผู้ได้รับสิทธิตามสัญญาแบ่งปันผลผลิตสำหรับแปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข G2/65 ขนาดพื้นที่ 15,030.14 ตารางกิโลเมตรได้มีการลงนามในสัญญาร่วมกับกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ
นายชาทิตย์ กล่าวว่า แปลงสำรวจดังกล่าวมีศักยภาพที่จะพบก๊าซธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่ และบางส่วนเป็นน้ำมันดิบ โดยเป็นพื้นที่ที่อยู่ใกล้กับแหล่งไพลิน ที่บริษัทดำเนินการผลิตปิโตรเลียมอยู่ในปัจจุบัน โดยหลังจากที่มีการลงนามในสัญญาแล้ว จะเริ่มดำเนินการสํารวจวัดคลื่นไหวสะเทือน หรือ Seismic Survey เพื่อศึกษาถึงโครงสร้างทางธรณีวิทยาหาความเป็นไปได้ที่จะพบปิโตรเลียมอย่างละเอียด และลงทุนเจาะหลุมสำรวจ 2 หลุม ซึ่งมีระยะเวลาดำเนินการภายใน 6 ปี โดยหากพบว่ามีศักยภาพที่จะผลิตขึ้นมาใช้ในเชิงพาณิชย์ ก็จะมีการลงทุนเพื่อพัฒนาเป็นหลุมผลิตต่อไป ซึ่งปิโตรเลียมที่ผลิตได้จากแหล่งใหม่ดังกล่าวจะช่วยเสริมความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศในอนาคต
ในขณะที่การผลิตในปัจจุบัน เชฟรอนเป็นโอเปอเรเตอร์ในแหล่งไพลินและไพลินเหนือ ปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติอยู่ที่ 420-450 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ซึ่งแหล่งดังกล่าวจะสิ้นสุดสัญญาสัมปทานในปี 2571 และบริษัทอยู่ระหว่างการยื่นขอขยายสัมปทานการผลิต (Production Period Extension -PPE) ต่ออีก 10 ปี ตามเงื่อนไขของสัญญา โดยหากได้รับความเห็นชอบจากกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน ก็มีแผนที่จะขยายการลงทุนเพิ่มขึ้นในแหล่งดังกล่าว ส่วนแหล่งผลิตปิโตรเลียมเบญจมาศ (B8/32) ปัจจุบันยังอยู่ในช่วงของการ Shutdown
-
สำหรับโอกาสในการแสวงหาแหล่งปิโตรเลียมใหม่ที่มีศักยภาพเพิ่มเติมเพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้ประเทศในระยะยาวนั้น นายชาทิตย์ หวังให้รัฐบาลชุดใหม่เร่งดำเนินการเจรจากับรัฐบาลประเทศกัมพูชาในการผลักดันพัฒนาพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน (Overlapping Claimed Area-OCA) และหาแนวทางร่วมกันพัฒนาพื้นที่ OCA เพื่อใช้ประโยชน์จากแหล่งก๊าซธรรมชาติร่วมกัน โดยหากได้ข้อยุติที่สามารถเริ่มเข้าไปดำเนินการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในพื้นที่ได้ ทางเชฟรอน ซึ่งมีใบอนุญาตในการสำรวจ (License) อยู่ในแปลงของพื้นที่ OCA อยู่แล้ว ก็พร้อมที่จะดำเนินการ
“ปัจจุบันไทยต้องพึ่งพาการนำเข้าแอลเอ็นจีจากต่างประเทศซึ่งมีราคาที่แพงกว่าก๊าซธรรมชาติที่ผลิตได้ในประเทศ ทำให้ที่ผ่านมาประสบปัญหาวิกฤติราคาพลังงาน ดังนั้น การผลักดันให้มีการแสวงหาปิโตรเลียมในประเทศจากแหล่งใหม่ จะช่วยลดการนำเข้าแอลเอ็นจี ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบราคาพลังงาน และเป็นการสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้ประเทศได้ในระยะยาว ซึ่งเชฟรอนมีความพร้อมที่จะเดินหน้าขยายการลงทุนตามแผนงานที่วางเอาไว้” นายชาทิตย์ กล่าวสรุป