เงินกองทุนน้ำมันฯ แนวโน้มดี ทยอยติดลบลดลง เหลือ -52,513 ล้านบาท

58
- Advertisment-

กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง แนวโน้มยังดี หลังราคาน้ำมันโลกลดลง วงเงินรวมยังคงติดลบ -52,513 ล้านบาท   ยังถือเป็นการติดลบต่ำสุดในรอบ 2 ปี นับจากเงินกองทุนฯ เริ่มติดลบตั้งแต่ปี 2564 ที่เริ่มต้น -4,480 ล้านบาท และสูงสุด 1.3 แสนล้านบาทในปี 2565 ปัจจุบันกองทุนฯ มีเงินไหลเข้าเดือนละกว่า 1 หมื่นล้านบาท โดยผู้ใช้น้ำมันฯ ยังคงถูกเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนฯ และจ่ายค่าการตลาดน้ำมันในอัตราสูง  

ผู้สื่อข่าวศูนย์ข่าวพลังงาน (Energy News Center – ENC) รายงานสถานการณ์กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงรายสัปดาห์ว่า เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงล่าสุด ณ วันที่ 20 เม.ย. 2568 ที่รายงานโดยสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) ยังคงติดลบ แต่ติดลบน้อยลงต่อเนื่องเหลือ -52,513 ล้านบาท ซึ่งมาจากบัญชีน้ำมันติดลบรวม -7,020 ล้านบาท และบัญชีก๊าซหุงต้ม (LPG) ติดลบรวม -45,493 ล้านบาท

โดยวงเงินดังกล่าวยังนับว่าเป็นการติดลบที่ต่ำสุดในรอบ 2 ปี โดยกองทุนน้ำมันฯ เริ่มกลับมาติดลบรอบ 2 เป็นประวัติการณ์ เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2564 ซึ่งขณะนั้นติดลบรวม -4,480 ล้านบาท จากสถานการณ์ราคา LPG โลกปรับตัวสูงขึ้นมาก จากนั้นในวันที่ 2 ม.ค. 2565 เริ่มติดลบมากขึ้นเป็น -5,945 ล้านบาท เนื่องจากราคาน้ำมันโลกที่ปรับสูงขึ้น และในวันที่ 1 ม.ค. 2566 การติดลบยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นระดับ -121,491 ล้านบาท ก่อนจะทยอยลดลงจนเมื่อวันที่ 7 ม.ค. 2567 เหลือ -80,101 ล้านบาท และปัจจุบัน 20 เม.ย. 2568 เหลือ -52,513 ล้านบาท โดยเงินกองทุนฯ เคยติดลบสูงสุดเป็นประวัติการณ์ประมาณ 1.3 แสนล้านบาท ในปี 2565  

- Advertisment -

ทั้งนี้สาเหตุที่กองทุนฯ ติดลบลดลงส่วนหนึ่งมาจากราคาน้ำมันโลกที่ปรับตัวลดลง ขณะเดียวกันคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ก็เร่งเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้น้ำมันทุกชนิดส่งคืนกองทุนฯ หลังจากใช้พยุงราคาน้ำมันดีเซลมากว่า 2 ปี โดยการกู้ยืมเงินสถาบันการเงินรวม 105,333 ล้านบาท ตั้งแต่ 6 ต.ค. 2565-5 ต.ค. 2566

โดยปัจจุบันกองทุนฯ มีเงินไหลเข้าประมาณ 394 ล้านบาทต่อวัน (11,820 ล้านบาทต่อเดือน) ซึ่งมาจากการเรียกเก็บเงินผู้ใช้น้ำมันกลุ่มเบนซินเข้ากองทุนฯ ได้ 132 ล้านบาทต่อวัน ( 3,960 ล้านบาทต่อเดือน) รวมทั้งจากผู้ใช้ดีเซลส่งเข้ากองทุนฯ  243 ล้านบาทต่อวัน (7,290 ล้านบาทต่อเดือน) และมาจากโรงแยกก๊าซฯ อีก 19 ล้านบาทต่อวัน (570 ล้านบาทต่อเดือน)

ปัจจุบัน กบน.เรียกเก็บเงินจากผู้ใช้น้ำมันกลุ่มเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ เพื่อส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังนี้ เบนซินออกเทน 95 ถูกเก็บ 10.71 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 เก็บ 2.70 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 เก็บ 3.60 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 และ 91 เก็บ 4.40 บาทต่อลิตร

ส่วนกลุ่มดีเซลและดีเซล B20 เรียกเก็บ 3.30 บาทต่อลิตร และดีเซลเกรดพรีเมียมเรียกเก็บ 4.80 บาทต่อลิตร  

ขณะที่สถานการณ์ราคาน้ำมันโลกล่าสุด ณ วันที่ 21 เม.ย. 2568 เวลาประมาณ 15.00 น. ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ระดับ 68.77 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ราคาเพิ่มขึ้น 0.87 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) อยู่ที่ 63.62 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ลดลง 1.06 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล  และราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) อยู่ที่ 66.88 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ลดลง 1.08 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล

ส่วนค่าการตลาดน้ำมันที่ผู้ค้าน้ำมันเรียกเก็บจากประชาชน ซึ่งรายงานโดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ณ วันที่ 21 เม.ย. 2568 เปลี่ยนแปลงดังนี้ ค่าการตลาดกลุ่มเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ยังคงทรงตัวระดับสูง โดยน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ถูกเรียกเก็บค่าการตลาด 4.07 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 มีค่าการตลาดที่ 3.47 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 3.54 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 อยู่ที่ 3.86 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 อยู่ที่ 3.94 บาทต่อลิตร, ดีเซล อยู่ที่ 1.72 บาทต่อลิตร  โดยเฉลี่ยค่าการตลาดระหว่าง 1-18 เม.ย. 2568 อยู่ที่ 2.61 บาทต่อลิตร (จากค่าการตลาดที่เหมาะสมที่ 1.5-2 บาทต่อลิตร)

Advertisment