เมื่อวันที่ 30 พ.ค. 2566 มีโอกาสได้ไปร่วมงานพิธีลงนามสัญญาแบ่งปันผลผลิตปิโตรเลียม ( Production Sharing Contract ) หรือที่เรียกสั้นๆว่า พีเอสซี ระหว่างกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน กับบริษัทผู้ได้รับสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในทะเลอ่าวไทย ครั้งที่ 24 ซึ่ง ปตท.สผ.อีดี เป็นผู้ได้สิทธิเป็นผู้รับสัญญาแบ่งปันผลผลิตสำหรับแปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข G1/65 และ G3/65 ขนาดพื้นที่รวม 20,133.87 ตารางกิโลเมตร และ เชฟรอน ออฟชอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ได้สิทธิสำหรับแปลงหมายเลข G2/65 ขนาดพื้นที่ 15,030.14 ตารางกิโลเมตร
ประเทศไทยนั้น ให้สิทธิเอกชนสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในพื้นที่อ่าวไทยครั้งล่าสุดเมื่อปี 2550 ซึ่งหมายความว่าเราทิ้งช่วงมานานถึง 16 ปี เพราะมีการประท้วงคัดค้านให้เปลี่ยนระบบสัญญาที่จะใช้ในการบริหารจัดการจากเดิมที่ใช้ระบบสัมปทาน เป็นระบบแบ่งปันผลผลิต
ในขั้นตอนการสำรวจปิโตรเลียมในพื้นที่ใหม่ หลังจากลงนามในสัญญาระหว่างกัน ทั้ง ปตท.สผ.และเชฟรอน จะเข้าพื้นที่ทำการสำรวจวัดเคลื่อนไหนสะเทือนโดยมีระยะเวลา 6 ปี และถ้าพบปิโตรเลียมในปริมาณที่คุ้มค่าในเชิงพาณิชย์ ก็ถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับประเทศไทย ที่จะมีปริมาณสำรองก๊าซธรรมชาติ เพิ่มเติมขึ้น ยืดระยะเวลาแหล่งก๊าซธรรมชาติจากแหล่งผลิตในอ่าวไทยในยาวนานขึ้นไปอีกหลังจากที่ปนิมาณำสำรองในส่วนที่เรียกว่า proved reserves นั้นหร่อยหรอลงเรื่อยๆ จากความต้องการใช้ก๊าซที่เพิ่มขึ้นทุกปี
ประเทศไทย ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตกระแสไฟฟ้า ในสัดส่วนที่สูงกว่าเชื้อเพลิงอื่นๆ ซึ่งปัจจุบันก๊าซที่ผลิตจากอ่าวไทยนั้นไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ ทำให้ต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว หรือ LNG จากต่างประเทศเข้ามาเสริมในสัดส่วนที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
ดังนั้นการแสวงหาโอกาสที่จะมีแหล่งผลิตก๊าซธรรมใหม่ๆ เพิ่มขึ้นในอ่าวไทยจึงมีมีความสำคัญอย่างมากต่อการพัฒนาประเทศ เพราะจะช่วยลดการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศ ช่วยสร้างรายได้ให้รัฐในรูปของค่าภาคหลวง ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม และช่วยให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าถูกลง เนื่องจากราคาก๊าซธรรมชาติโดยเฉลี่ยแล้ว ถูกกว่า LNG นำเข้าค่อนข้างมาก
นอกจากนี้ คุณสมบัติของเนื้อก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทย ที่เรียกว่า Wet Gas ซึ่งนำมาแยกเพื่อเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ยังช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทรัพยากรของประเทศได้ สูงกว่านำไปเผาเป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าทั้งหมด รวมทั้ง
จะก่อให้เกิดการลงทุนและการจ้างงานตามมาอีกมาก
ในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา ก็เป็นอนาคตทางด้านพลังงานของประเทศ เพราะเชื่อว่ามีศักยภาพสูงที่จะสำรวจพบก๊าซธรรมชาติ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ร่วมกันของทั้งไทยและกัมพูชา แต่ปัจจุบันการเจรจาระหว่างทั้งสองประเทศยังไม่มีความคืบหน้า
ต้องติดตามกันต่อว่านอกเหนือจากพื้นที่ 3 แปลงในอ่าวไทยที่ลงนามในสัญญาให้เริ่มต้นกระบวนการสำรวจกันแล้ว รัฐบาลใหม่จะเร่งผลักดันพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา ได้แค่ไหน