คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน หั่นงบกองทุนฯปี 2563 ลง 4,100 ล้านบาท หลังสถานการณ์COVID-19 ส่งผลให้การใช้น้ำมันลดน้อยลง มีผลให้การเรียกเก็บเงินเข้ากองทุน 10 สตางค์ต่อลิตรจากผู้ใช้น้ำมัน ช่วงเม.ย.-ก.ย.2563 ไม่เป็นไปตามเป้า โดยยังเน้นอนุมัติโครงการที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจฐานราก กระตุ้นเศรษฐกิจธุรกิจขนาดเล็กและชุมชน คาดเปิดให้ยื่นข้อเสนอใช้งบปี 2563 กลางเดือนพ.ค. 2563 นี้
นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยมี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เมื่อวันที่ 23 เม.ย.2563 ว่า ได้มีการประชุมทบทวนกรอบยุทธศาสตร์การจัดสรรเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ประจำปีงบประมาณ 2563 วงเงิน 10,000 ล้านบาท โดยที่ประชุมเห็นชอบตัดงบ ใน 2 แผนงาน ลง 4,100 ล้านบาท เหลือ 5,600 ล้านบาท ได้แก่
1.แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน จากวงเงิน 5,000 ล้านบาท ตัดให้เหลือ 2,400 ล้านบาท เพื่อใช้สนับสนุนการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน เป็นหลัก 2.แผนพลังงานทดแทน จากวงเงิน 4,700 ล้านบาท ตัดให้เหลือ 3,200 ล้านบาท เพื่อใช้สนับสนุนการดำเนินการตามแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือกเป็นหลัก 3.แผนบริหารจัดการ สำนักงานคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน หรือ ส.กทอ. มีวงเงิน 300 ล้านบาท แม้ไม่ได้ตัดงบแต่มีการจัดสรรใช้จริงเพียง 256 ล้านบาท
ทั้งนี้เนื่องจากเป็นห่วงว่าการเก็บเงินเข้ากองทุนฯในปี 2563 จะได้ไม่ถึงเป้าหมาย 3,500-3,600 ล้านบาทต่อปีเหมือนปกติ โดยรายได้ของกองทุนฯ มาจากการเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้น้ำมัน 10 สตางค์ต่อลิตร แต่ปัญหาCOVID-19 ส่งผลให้ประชาชนใช้รถยนต์น้อยลงมากและอาจทำให้การส่งเงินเข้ากองทุนฯน้อยไปด้วย ซึ่งตั้งแต่ 1 ต.ค.2562-31 มี.ค. 2563 ยังเก็บเงินได้ตามเป้าหมาย 1,500 ล้านบาท แต่ในเดือน เม.ย.-ก.ย.2563 ยังไม่แน่ใจว่าจะถึงตามเป้าหมาย 2,000 ล้านบาท ได้หรือไม่ ประกอบกับเหลือเวลาดำเนินโครงการจริงได้แค่เพียง 3 เดือน ก่อนจะปิดงบประมาณกองทุนฯในปี 2563 จึงจำเป็นต้องตัดงบกองทุนฯปี 2563 ลง
โดยเงินที่ถูกตัดไปรวม 4,100 ล้านบาท จะนำไปเก็บไว้ใช้สำหรับงบกองทุนฯปี 2564 แทน ทั้งนี้หากสามารถจัดเก็บเงินจากผู้ใช้น้ำมันได้ตามเป้าหมาย 2,000 ล้านบาท ในเดือนเม.ย.-ก.ย.2563 ก็จะส่งผลให้กองทุนฯปี 2564 มีงบสนับสนุนโครงการต่างๆ ได้ 10,000 ล้านบาทต่อไป แต่ถ้าเก็บเงินไม่เข้าตามเป้าหมายก็อาจจะลดงบประมาณลงได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตามคาดว่าจะเปิดรับข้อเสนอโครงการประจำปี 2563 ได้ช่วงกลางเดือนพ.ค. 2563 และคาดว่าจะเริ่มต้นโครงการได้จริงประมาณ ก.ค. 2563 โดยคาดว่าเดือน ก.ค. 2563 จะเป็นช่วงที่ปัญหาCOVID-19 คลี่คลายลง โดยรองนายกรัฐมนตรีเร่งให้ใช้งบไปกับโครงการกิจการขนาดเล็ก โครงการที่เกี่ยวข้องกับชุมชนและกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก เนื่องจากเห็นว่าหากCOVID-19 คลี่คลาย จะต้องมีโครงการที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากได้ด้วย นอกจากนี้ที่ประชุมต้องการให้เริ่มเปิดกองทุนฯในปี 2564 ได้ภายใน 1 ต.ค. 2564 ด้วย