สหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย ค้านรัฐอนุญาตให้ขายดีเซล B20 ในปั๊มน้ำมัน เร็วเกินไป หวั่นผู้ใช้สับสนเติมผิดเครื่องยนต์เสียหาย เสนอให้ตั้งจุดจำหน่ายพิเศษสำหรับรถบรรทุก 6เดือน- 1ปีก่อน เพื่อรอให้ 4 กระทรวงหารือกับค่ายรถยนต์ปรับเปลี่ยนอะไหล่รถบรรทุกรุ่นใหม่รองรับB20 ได้ ด้านแหล่งข่าวระบุรัฐมนตรีพลังงานสั่งกรมธุรกิจพลังงานประสานเกษตรกรผู้เรียกร้องให้ใช้B100 กรณีจะเดินทางมาชุมนุมที่กระทรวงพลังงาน 28 ม.ค. 2562 นี้ ชี้การใช้ B100 ยังติดปัญหาค่ายรถยนต์ไม่ยอมรับ
นายทองอยู่ คงขันธ์ ประธานสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ทางสหพันธ์ฯ ไม่เห็นด้วยกับกรณีที่กระทรวงพลังงานจะเปิดให้ค่ายน้ำมันจำหน่ายน้ำมันไบโอดีเซลB20 (น้ำมันดีเซลที่ผสมน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ 20% ในทุกลิตร) ในปั๊มน้ำมันได้ เพราะสถานที่ในปั๊มไม่สะดวกต่อการใช้บริการของรถบรรทุกขนาดใหญ่และจะส่งผลกระทบต่อรถขนาดเล็กที่มาใช้บริการในปั๊มด้วย
นอกจากนี้ยังสร้างความสับสนในการเติมน้ำมันดีเซล โดยหากรถบรรทุกขนาดเล็กไปเลือกเติม ดีเซลB20 ก็จะมีผลกระทบต่อเครื่องยนต์ได้ ดังนั้นภาครัฐควรนำร่องตั้งจุดจำหน่ายไบโอดีเซลB20 สำหรับรถบรรทุก เป็นเวลา 6 เดือนถึง 1 ปี ก่อนจะเปิดให้จำหน่ายในปั๊มเป็นการทั่วไป และระหว่างนี้ภาครัฐทั้ง 4 กระทรวง คือ กระทรวงพลังงาน กระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงพาณิชย์ ควรต้องหารือร่วมกันเพื่อแก้ปัญหาไม่ให้การใช้ดีเซลB20 ในรถบรรทุกรุ่นใหม่เกิดผลเสียต่อเครื่องยนต์ โดยเฉพาะอะไหล่ต่างๆ ที่จะสึกหรอง่าย ซึ่งอาจจะต้องหารือกับค่ายรถยนต์เพื่อปรับแก้อะไหล่ให้รองรับB20 ได้ก่อน
“ในข้อเท็จริงแล้ว ปัจจุบันมีรถบรรทุกจำนวนไม่มากที่ใช้ B20 โดยส่วนใหญ่เป็นรถบรรทุกรุ่นเก่าที่เป็นมาตรฐานยูโร1 ยูโร2 ส่วนรถบรรทุกรุ่นใหม่ที่เป็นมาตรฐานยูโร3 และยูโร4 ยังใช้ไม่ได้ ซึ่งปัจจัยที่รถบรรทุกรุ่นเก่าใช้เพราะราคาถูกกว่าดีเซลทั่วไปเป็นหลัก โดยเฉพาะในช่วงที่น้ำมันดีเซลสูง 28-30 บาทต่อลิตร ก็จะใช้กันมาก แต่ตอนนี้ราคาน้ำมันไม่สูงมากนักก็จะใช้กันน้อยลง และถ้าตั้งหัวจ่าย B20 ในปั๊มน้ำมัน อาจไม่คุ้มค่าต่อการลงทุนของเจ้าของปั๊มเพราะปัจจุบันขายดีเซลเกรดธรรมดา เกรดพรีเมี่ยม และถ้าขาย B20 อีก จะทำให้ชนิดน้ำมันดีเซลจะมีมากเกินไปไม่คุ้มค่าการลงทุน ดังนั้นถ้าจะปั๊มไหนจะขายB20 ก็ควรถอดดีเซลปกติออกไป”นายทองอยู่ กล่าว
ด้านแหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้สั่งการให้กรมธุรกิจพลังงาน ติดตามการเคลื่อนไหวของกลุ่มเกษตรกรชาวสวนปาล์มที่เรียกร้องให้ส่งเสริมการใช้น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ 100% (B 100) โดยมอบหมายให้นายสมบูรณ์ หน่อแก้ว รองอธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน(ธพ.) เป็นผู้ประสานข้อมูลกับกลุ่มเกษตรกร หากเดินทางมายังกระทรวงพลังงาน ซึ่งเบื้องต้น มองว่า การส่งเสริมใช้ B100 นั้น ยังมีอุปสรรคเรื่องความเชื่อมั่นของค่ายรถ เพราะแค่การส่งเสริมใช้ B20(ดีเซลที่ผสมน้ำมันปาล์ม20% ในทุกลิตร) ยังต้องใช้เวลา
นายชโยดม สุวรรณวัฒนะ ประธานชมรมคนปลูกปาล์มน้ำมัน จ.กระบี่ กล่าวว่า ในวันที่ 28 ม.ค. 2562 กลุ่มเกษตรกรชาวสวนปาล์มในพื้นที่ภาคใต้ เตรียมเข้าพบนายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพื่อแสดงข้อมูลยืนยัน ศักยภาพการใช้น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ 100% (B100) ที่นอกจากจะช่วยแก้ไขปัญหาสต็อกน้ำมันปาล์มล้นและเป็นสาเหตุให้ราคาปาล์มตกต่ำแล้ว ยังช่วยแก้ไขปัญฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ได้
โดยหลังจากวันที่ 27 ม.ค.2562นี้ จะนำคาราวานรถยนต์ที่เติมB100 จำนวนประมาณ 100 คัน มานัดรวมตัวกันที่บริเวณสวนลุมพินี กรุงเทพฯ เพื่อแสดงให้คนกรุงเทพฯ มั่นใจว่า รถยนต์ในทุกรุ่นสามารถเติม B100 ได้ หลังจากได้ทดลองเติบB100 กับรถหลายประเภท ทั้งรถกะบะ รถไถ่ รถบรรทุกบีเอ็ม รถเบนซ์ รถทัวร์ และรถเมล์ มาแล้ว 6 เดือน ประมาณเกิน 2 แสนลิตร อีกทั้งได้เชิญกรมขนส่งจังหวัดมาทดสอบรถดังกล่าวแล้ว ไม่พบว่ามีควันดำ และยังช่วยลดฝุ่นอีกด้วย
“ที่ผ่านมาภาครัฐยังแก้ไขปัญหาราคาปาล์มตกต่ำไม่ตรงจุด และเสียเงินกับการอุดหนุนB20 ประมาณ 3,000 ล้านบาท และงบจากการเอาปาล์มไปเผาเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าอีกราว 1,000 ล้านบาท แต่ราคาผลปาล์มปัจจุบันยังอยู่ที่ 2.30-2.40 บาทต่อกิโลกรัม จากต้นทุนอยู่ที่ 3.60-3.80 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งราคาที่เกษตรกรจะอยู่ได้ไม่ควรต่ำกว่า 4 บาทต่อกิโลกรัม”
ดังนั้น การส่งเสริมการใช้B100 จะแก้ไขปัญหาสต็อกปาล์มได้ทันที 100 % และยังประหยัดต้นทุนเชื้อเพลิง เพราะB100 มีราคาอยู่ที่ประมาณ 19 บาทต่อลิตร และเทียบกับดีเซลปกติ และดีเซลเกรดพิเศษ B20 ถือว่าถูกมาก