ราคาปาล์มที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วผิดปกติ จากผลพวงการส่งเสริมดีเซลB10 จนกระทบต่อต้นทุนผู้ค้าน้ำมัน ทำให้รัฐมนตรีพลังงาน เตรียมลงพื้นที่กระบี่ 20 ม.ค.2563 นี้ ติดตามสถานการณ์ ก่อนบริหารให้เกิดความสมดุลด้านราคา
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ราคาน้ำมันปาล์มดิบที่พุ่งขึ้นสูงสุดแบบที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนที่ระดับ 33-34 บาทต่อกิโลกรัม และราคาผลปาล์มอยู่ที่ 7 บาทต่อกิโลกรัม เป็นผลมาจากการส่งเสริมการใช้น้ำมันดีเซลB10(น้ำมันดีเซลที่ผสมน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ 10% ในทุกลิตร) ให้เป็นน้ำมันดีเซลมาตรฐานตั้งแต่ 1 ม.ค. 2563 และในเดือนมี.ค.2563 กำหนดให้ทุกปั๊มต้องมีการจำหน่ายดีเซลB10 รวมถึงการส่งเสริมดีเซลB20 (น้ำมันดีเซลที่ผสมน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ 20% ในทุกลิตร) ส่งผลให้เกิดการเก็บสำรองน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ 100% หรือ B100 เพื่อผลิตน้ำมันดีเซลB10 และ B20 และทำให้ราคาน้ำมันปาล์มดิบขยับตัวสูงขึ้น จนกระทบต่อผู้ค้าน้ำมันให้มีต้นทุนสูงขึ้นด้วยนั้น
ทางกระทรวงพลังงานจะเร่งพิจารณาสถานการณ์และผลกระทบอย่างรอบด้าน และจะลงพื้นที่จังหวัดกระบี่ ตรวจสอบสถานการณ์ปาล์มทั้งหมดในวันที่20 ม.ค.2563 เพื่อบริหารให้เกิดความสมดุลด้านราคา
สำหรับสต็อกน้ำมันปาล์มดิบล่าสุดลดเหลือประมาณ 3 แสนตัน โดยการดูดซับน้ำมันปาล์มดิบ เพื่อผลิตB10 นั้นจะใช้น้ำมันปาล์มดิบประมาณ2.2 ล้านตันต่อปี หรือ 7 ล้านลิตรต่อวัน
นายธวัชชัย จักรไพศาล รองผู้ว่าการเชื้อเพลิง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวถึงความคืบหน้าการส่งมอบน้ำมันปาล์มดิบ หลังประมูลราคาเมื่อต้นเดือน พ.ย.2562 ว่า ในการประมูลดังกล่าว อยู่ที่ราคา 17.50 บาทต่อกิโลกรัม สูงกว่าราคาตลาดทั่วไป 1 บาทต่อกิโลกรัม โดยประมูลได้ 101,700 ตัน ให้ทยอยส่งมอบเข้าคลังน้ำมันปาล์มดิบที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีในช่วงต้นเดือนธ.ค. 2562 เป็นต้นไป เพื่อเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าที่โรงไฟฟ้าบางปะกง และให้ส่งมอบทั้งหมดภายในเดือนเม.ย.2563
อย่างไรก็ตามหลังจากประมูลไปแล้วพบว่า ราคาน้ำมันปาล์มดิบขยับสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ในปลายเดือน ธ.ค. โดยสูงกว่า 30 บาทต่อกิโลกรัม ดังนั้น กฟผ.จึงให้ส่งมอบในเดือน ธ.ค. 2562 เพียง 3 หมื่นตัน และ ส่วนที่เหลือให้ ส่งมอบรอบใหม่ในเดือน เม.ย. 2563 แทน