สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) เตรียมจัดทำ “แผนรองรับวิกฤตการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2568-2572” หลังใช้งานมาครบ 5 ปี พร้อมเสนอ กบน. กพช. และ ครม. พิจารณาความเหมาะสมราคาน้ำมันและ LPG เพื่อใช้บริหารดูแลราคาให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันมากขึ้น คาดเสนอได้ภายในเดือน ธ.ค. 2567 นี้ ขณะที่ฐานะเงินกองทุนน้ำมันฯ เริ่มดีขึ้น ทยอยติดลบน้อยลง เหลือ -84,331 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวศูนย์ข่าวพลังงาน (Energy News Center – ENC) รายงานว่า สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) เตรียมจัดทำ “แผนรองรับวิกฤตการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2568-2572” เพื่อเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) , คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.)และคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายในเดือน ธ.ค. 2567 นี้
สำหรับแผนรองรับวิกฤตการณ์ด้านราคาน้ำมันฯ ดังกล่าว จะมีการทบทวนทุกๆ 5 ปี ซึ่งปัจจุบันได้ใช้งานมาครบ 5 ปีแล้ว จึงต้องทบทวนเพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ปัจจุบันมากขึ้น
เบื้องต้นแผนรองรับวิกฤติฯ น้ำมันนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับ การดูแลราคาน้ำมันเชื้อเพลิง โดยเฉพาะราคาน้ำมันดีเซลที่เกี่ยวข้องกับต้นทุนค่าขนส่งและเศรษฐกิจของประเทศโดยตรง รวมถึงราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) ปัจจุบัน กบน. พยายามดูแลราคาดีเซลให้อยู่ในระดับ 30- 33 บาทต่อลิตร และราคา LPG ไม่ให้เกิน 423 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม ดังนั้นในส่วนนี้จะต้องมีการทบทวนความเหมาะสมของทั้งราคาน้ำมัน และ LPG เพื่อใช้บริหารราคาในปี 2568-2572
อย่างไรก็ตามขณะนี้ได้จัดเตรียมข้อมูลไว้หลายด้าน และกำลังอยู่ระหว่างตรวจสอบข้อมูล ก่อนเสนอ กบน., กพช. และ ครม. ภายในเดือน ธ.ค. 2567 นี้ โดยข้อมูลที่จัดเตรียมมาจากการรับฟังความเห็นจากหลายฝ่าย และการพิจารณาจากตัวเลขข้อมูลสถิติราคาน้ำมัน และ LPG ทั้งช่วงก่อนเกิดวิกฤติการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด และหลังเกิดโควิด อย่างรอบด้านและเหมาะสม
ทั้งนี้เชื่อว่าการทบทวนแผนรองรับวิกฤตการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2568-2572 จะทำให้เกิดความชัดเจนในการดูแลราคาน้ำมันและ LPG ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันและในอนาคตอันใกล้ได้ดีขึ้น
ส่วนสถานการณ์กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงล่าสุด ณ วันที่ 1 ธ.ค. 2567 ที่ สกนช. ได้รายงานพบว่า กองทุนฯ ยังคงติดลบในระดับที่ลดน้อยลง โดยปัจจุบันอยู่ที่ -84,331 ล้านบาท โดยมาจากบัญชีน้ำมันติดลบรวม -36,984 ล้านบาท และบัญชี LPG ติดลบรวม -47,347 ล้านบาท
โดย กบน. เรียกเก็บเงินจากผู้ใช้ดีเซลส่งเข้ากองทุนฯ 1.54 บาทต่อลิตร ขณะที่ราคาดีเซลยังจำหน่ายอยู่ที่ 32.94 บาทต่อลิตร (ปัจจุบันยอดการใช้น้ำมันกลุ่มดีเซล อยู่ที่ 66.74 ล้านลิตรต่อวัน) ขณะที่ผู้ใช้น้ำมันกลุ่มเบนซิน ต้องส่งเงินเข้ากองทุนฯ ดังนี้ เบนซิน ออกเทน 95 ส่งเข้ากองทุนฯ 10.68 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 และ 91 ส่งเข้าถึง 4.60 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 ส่งเข้า 2.61 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 ส่งเข้า 1.16 บาทต่อลิตร (ปัจจุบันยอดการใช้น้ำมันกลุ่มเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ อยู่ที่ 31.52 ล้านลิตรต่อวัน)
สำหรับราคาน้ำมันโลกล่าสุด ณ วันที่ 2 ธ.ค. 2567 เวลาประมาณ 15.00 น. ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ระดับ 72.60 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ราคาไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) อยู่ที่ 68.53 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.53 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) อยู่ที่ 72.38 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.54 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
ส่วนค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมัน ที่รายงานโดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ณ วันที่ 2 ธ.ค. 2567 พบว่าค่าการตลาดกลุ่มเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ยังคงทรงตัวระดับสูง โดยน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ถูกเรียกเก็บค่าการตลาด 5.34 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 มีค่าการตลาดที่ 3.79 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 3.87 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 อยู่ที่ 3.96 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 อยู่ที่ 4.26 บาทต่อลิตร, ดีเซล อยู่ที่ 2.29 บาทต่อลิตร โดยเฉลี่ยค่าการตลาดระหว่างวันที่ 1-2 ธ.ค. 2567 อยู่ที่ 2.80 บาทต่อลิตร (จากค่าการตลาดที่เหมาะสมที่ 1.5-2 บาทต่อลิตร)