ราช กรุ๊ป ประกาศกำไรสุทธิ 9 เดือนแรก 5,485 ล้านบาท เพิ่ม​ 15%

78
- Advertisment-

บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) รายงานผลการดำเนินงานรอบ 9 เดือนแรก (มกราคม-กันยายน) ของปี 2567 รับรู้กำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จำนวน 12,830 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,701 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 15 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2566 และกำไรสุทธิ จำนวน 5,485 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 730 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 15 สำหรับรายได้ของงวด 9 เดือนที่ผ่านมา บริษัทฯ รับรู้เป็นจำนวน 33,616 ล้านบาท โดยรายได้จากส่วนแบ่งกำไรจากกิจการที่ร่วมทุน สินทรัพย์โรงไฟฟ้าในออสเตรเลียภายใต้การดำเนินงานของบริษัท ราช ออสเตรเลีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด และโรงไฟฟ้าพลังน้ำในอินโดนีเซีย ได้ช่วยเสริมหนุนให้ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

นายนิทัศน์ วรพนพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯ มุ่งหมายที่จะสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยการกำหนดเป้าหมายให้ EBITDA เติบโตปีละไม่น้อยกว่า 12,000 ล้านบาท โดยวางกลยุทธ์เน้นการบริหารประสิทธิภาพโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้วให้มีความสามารถดำรงความพร้อมจ่ายให้ดีที่สุด และบริหารโครงการที่มีแผนเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในปีนี้ให้สำเร็จตามเป้าหมายเพื่อสร้างรายได้เพิ่มขึ้น รวมถึงจัดหาเงินทุนสำหรับขยายการลงทุนของบริษัทฯ ซึ่งผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา สะท้อนได้ถึงความมุ่งมั่นดังกล่าวเป็นอย่างดี โดยบริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในกิจการร่วมลงทุน รวม 5,312 ล้านบาท เติบโตขึ้นร้อยละ 64 ซึ่งรวมถึงโรงไฟฟ้าไพตัน โรงไฟฟ้าหินกอง โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์กาลาบังก้าที่รับรู้รายได้ในปีนี้ ขณะที่รายได้ของโรงไฟฟ้าในพอร์ตการลงทุนของบริษัท ราช ออสเตรเลีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ก็เติบโตเป็นที่น่าพอใจ เป็นจำนวน 5,409 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 57 ซึ่งเป็นผลสำคัญจากรายได้ของโรงไฟฟ้าพลังงานลมลินคอล์น แก็ป 1&2 และโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ สแนปเปอร์ พอยท์ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังประสบความสำเร็จในการจัดหาเงินทุนผ่านหุ้นกู้สีเขียว จำนวน 4,000 ล้านบาท ด้วย

“บริษัทฯ ยังคงยึดถือธุรกิจผลิตไฟฟ้าเป็นหลักในการขับเคลื่อนการเติบโต โดยในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ธุรกิจผลิตไฟฟ้าสร้างรายได้แก่บริษัทฯ จำนวน 31,949 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 95 ของรายได้รวม สำหรับรายได้จากโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน มีจำนวน 4,567 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 14 ของรายได้รวม ส่วนรายได้จากโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงหลัก มีจำนวน 27,382 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 82 ของรายได้รวม นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังสามารถเดินหน้า 4 โครงการ กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น รวม 1,183 เมกะวัตต์ ที่อยู่ในแผนงานปีนี้ได้สำเร็จ และลงทุนในโครงการต่างๆ ไปแล้วเป็นเงินจำนวน 24,619 ล้านบาท อีกทั้งยังได้จับมือกับพันธมิตรเพื่อร่วมกันสร้างโอกาสทางธุรกิจที่สนับสนุนเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ โดยเฉพาะเชื้อเพลิงคาร์บอนต่ำรูปแบบต่างๆ ที่มีศักยภาพในอนาคตด้วย” นายนิทัศน์ กล่าว

- Advertisment -

สำหรับ ฐานะการเงินปัจจุบัน (ณ วันที่ 30 กันยายน 2567) บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 212,817 ล้านบาท หนี้สินรวม จำนวน 110,833 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น จำนวน 101,984 ล้านบาท สำหรับสถานะทางการเงินบริษัทฯ ยังมีความมั่นคงและแข็งแกร่ง สะท้อนได้จากอัตราหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ระดับ 1.09 เท่า และอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้นอยู่ที่ร้อยละ 5.49

Advertisment