“พีระพันธุ์”ไม่เห็นด้วยกับ กกพ.ที่กำหนดหลักเกณฑ์ซื้อไฟฟ้า 3,600 เมกะวัตต์สุ่มเสี่ยงถูกมองว่าเอื้อประโยชน์

133
- Advertisment-

“พีระพันธุ์ ” ชี้แจง กกพ. ซื้อไฟฟ้า 3,600 เมกะวัตต์ต้องโปร่งใส ยืนยันไม่มีนายทุนเบื้องหลัง ระบุกระทรวงพลังงานไม่เห็นด้วยกับการกำหนดหลักเกณฑ์ของ กกพ.ที่มีความเสี่ยงต่อการถูกมองว่าเป็นการเอื้อประโยชน์

วันที่ 24 ตุลาคม 2567 นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ตอบกระทู้ถามสดในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เกี่ยวกับกรณีที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.) จะมีการเปิดประมูลเกี่ยวกับการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน รูปแบบ Feed-in Tariff จำนวนประมาณ 3,600 เมกะวัตต์ โดยยืนยันว่า  ตนและข้าราชการระดับสูงของกระทรวงพลังงานไม่เห็นด้วยกับการกำหนดหลักเกณฑ์ที่มีความเสี่ยงต่อการถูกมองว่าเป็นการเอื้อประโยชน์

ทั้งนี้ โครงการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน รูปแบบ Feed-in Tariff จำนวนประมาณ 3,600 เมกะวัตต์นั้น เป็นโครงการต่อเนื่องจากโครงการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน จำนวนประมาณ 5,200 เมกะวัตต์ โดยในโครงการหลัง จำนวน 3,600 เมกะวัตต์นี้ กกพ. จะแบ่งการรับซื้อหรือการประมูลออกเป็น 2 โครงการย่อย คือ โครงการรับซื้อไฟฟ้าขนาดประมาณ 2,100 เมกะวัตต์ และโครงการรับซื้อไฟฟ้าขนาดประมาณ 1,500 เมกะวัตต์  

- Advertisment -

โดยโครงการแรกที่รับซื้อไฟฟ้าประมาณ 2,100 เมกกะวัตต์นั้น ปัจจุบัน กกพ. กำหนดให้สิทธิ์ผู้ที่เคยเข้าประมูลในโครงการ 5,200 เมกะวัตต์ แต่ไม่ชนะการประมูลเป็นผู้มีสิทธิ์ยื่นประมูลก่อน แต่ยังอยู่ในขั้นตอนเตรียมการยังไม่มีการประมูลเกิดขึ้น ซึ่งตนและกระทรวงพลังงานไม่เห็นด้วยและเคยนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานหรือ กบง. แล้ว แต่น่าจะเกิดความผิดพลาดจึงทำให้เกิดการกำหนดหลักเกณฑ์ที่ต่างไปจากนโยบาย ซึ่งตนได้สั่งการให้แก้ไขไปแล้วและกำลังจะมีการประชุม กบง.  เพื่อแก้ไขในเรื่องนี้

แต่อย่างไรก็ดี กกพ. ที่เป็นผู้ดำเนินการนั้นเป็นองค์กรอิสระ มีสถานะคล้ายกับ กสทช. กระทรวงพลังงานไม่มีอำนาจบังคับบัญชา กล่าวโดยง่ายคือไม่สามารถไปสั่งได้ แต่ก็ได้ใช้อำนาจตามที่มีอยู่โดยทำหนังสือทักท้วงพร้อมกับขอให้ทบทวนโครงการไปยัง กกพ. แล้วเป็นที่เรียบร้อย  โดยเบื้องต้นได้รับแจ้งว่าที่มาที่ไปที่ทำให้เกิดข้อผิดพลาดดังกล่าว เกิดจากความผิดพลาดในการทำมติที่ประชุมซึ่งจะได้ดำเนินการแก้ไขต่อไป  และเมื่อมีการทบทวนในเรื่องนี้ให้รอบคอบและถูกต้องแล้ว ก็จะรายงานไปยังคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ หรือ กพช. ต่อไป 

นายพีระพันธุ์ยังกล่าวอีกว่า กระบวนการทั้งหมดคาดว่าจะดำเนินการแก้ไขแล้วเสร็จในระยะเวลา 1 เดือน และขอยืนยันว่าตนไม่ได้นิ่งนอนใจในเรื่องนี้ โดยได้มีการกำกับ ติดตาม อย่างใกล้ชิดตลอดมา  

สำหรับกรณีที่มีการกล่าวว่าการรับซื้อไฟฟ้าครั้งนี้นั้น มีราคาแพงเกินไป นายพีระพันธุ์ชี้แจงว่า ในการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนดังกล่าว แบ่งออกเป็น 2 ประเภทตามแหล่งผลิต ประเภทแรกคือส่วนที่ผลิตจากแสงแดดมีการรับซื้อที่ 2.16 บาทต่อหน่วย และประเภทที่ผลิตจากพลังงานลมมีการรับซื้อที่ 3.10 บาทต่อหน่วย ซึ่งทั้ง 2 ส่วนไม่ได้มีราคาสูงกว่าราคารับซื้อเดิม ดังนั้น ตนจึงขอยืนยันว่าการรับซื้อไฟฟ้าในครั้งนี้ไม่ได้แพงเกินจริงแต่อย่างใด

สำหรับคำถามที่ว่าในเมื่อจะมีการดำเนินการในส่วนของการซื้อขายไฟฟ้าโดยตรง หรือ Direct PPA แล้ว ทำไมจะต้องมีโครงการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน หรือ RE  รวมถึงการผลิตไฟฟ้าที่มาจากพลังงานสะอาด ซึ่งจะเป็นการซ้ำซ้อนกันหรือไม่  นายพีระพันธุ์ได้ชี้แจงในประเด็นนี้ว่า Direct PPA หรือการรับซื้อไฟฟ้าตรง กับการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (RE) นั้นเป็นคนละเรื่องกันอย่างชัดเจน  

ส่วน Direct PPA เป็นการซื้อขายไฟฟ้าโดยตรงระหว่างผู้ประกอบการกิจการโรงไฟฟ้ากับผู้ประกอบการที่ต้องการใช้ไฟฟ้าโดยตรง  แต่สำหรับ RE หรือการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนซึ่งในโครงการที่กล่าวไปตอนต้นนั้น จะเป็นส่วนที่ส่งไฟฟ้าเข้าสู่ระบบของ กฟผ. ซึ่งเมื่อมีสัดส่วนพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียน หรือ RE ถึงเกณฑ์ที่กำหนดแล้วก็จะมีการจัดเก็บ UGT ที่ย่อมาจาก Utility Green Tariff หรืออัตราการเก็บค่าบริการสำหรับไฟฟ้าสีเขียว ซึ่งไฟฟ้าสีเขียวจะได้มาจากพลังงานหมุนเวียน อาทิ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานน้ำ เป็นต้น โดยจะมีใบรับรองการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificate หรือ REC) ควบคู่มาด้วย  โดย REC นี้ผู้ประกอบการจะใช้เป็นเอกสารประกอบเมื่อมีการส่งออกสินค้าไปยังประเทศที่มีการกำหนดกำแพงภาษี การดำเนินการของ กกพ. จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นในการรักษาความสามารถในการแข่งขันของการค้าและการส่งออกของประเทศ เนื่องจากพลังงานไฟฟ้าที่ได้มานั้น จะไม่สามารถแยกออกได้ว่าพลังงานไฟฟ้าหน่วยใดมีที่มาจากแหล่งใด ซึ่งมิใช่แค่ UGT แม้กระทั่ง Direct PPA ก็ไม่สามารถแยกได้ เว้นแต่เอกชนจะดำเนินการเดินสายส่งไฟฟ้าด้วยตนเอง ซึ่งมีต้นทุนเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ทำให้เอกชนหลายรายพิจารณาใช้สายส่งไฟฟ้าของ กฟภ. และ กฟน. ทดแทน  

สำหรับประเด็นคำถามเกี่ยวกับแนวทางในการจัดการกับการประมูลไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนขนาด 5,200 เมกะวัตต์นั้น  นายพีระพันธุ์ชี้แจงว่า ได้มีการสอบถามและหารือไปยัง  คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.) อย่างต่อเนื่อง แต่อย่างไรตาม การดำเนินการใด ๆ อาจจะส่งผลให้มีข้อพิพาททางกฎหมายเกิดขึ้น ซึ่งตนก็ได้ให้ข้อสังเกตและข้อแนะนำรวมถึงหารือในเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง และขอยืนยันว่าท่านใดมีข้อเสนอแนะที่ชัดเจนในเรื่องนี้ตนยินดีที่จะรับฟังพร้อมเดินหน้าปฏิบัติ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชน  

นอกจากนี้ กระทรวงพลังงานกำลังปรับปรุง กฎ ระเบียบ เพื่อให้ประชาชนสามารถผลิตไฟฟ้าได้ด้วยตนเอง โดยเฉพาะไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ เป็นการลดความยุ่งยากในการผลิตไฟฟ้าในครัวเรือนซึ่งจะสามารถช่วยลดผลกระทบของพี่น้องประชาชนจากค่าครองชีพหรือค่าไฟฟ้า 

 “ผมขอยืนยันว่า เบื้องหลังของผมมีแค่ผลประโยชน์ของประชาชน ไม่มีกลุ่มทุน อะไรที่สามารถเข้ามาแทรกแซง ผมจะดำเนินการแก้ไข โดยไม่บ่ายเบี่ยงว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในยุคใดในสมัยใด ขอให้ท่านมั่นใจว่า ผมจะทำให้เต็มที่เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างถูกต้อง” นายพีระพันธุ์ กล่าวในตอนท้าย

Advertisment