ปตท.สผ. หวังไทย-กัมพูชา บรรลุผลเจรจาแหล่งปิโตรเลียม OCA ร่วมกัน พร้อมร่วมพัฒนาโครงการในอนาคต

464
- Advertisment-

บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. หวัง “ไทย-กัมพูชา” เดินหน้าพัฒนาแหล่งปิโตรเลียม OCA ร่วมกัน โดยก้าวผ่านเรื่องเส้นแบ่งเขตแดน เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานระหว่าง 2 ประเทศ ระบุหากตกลงกันได้จะใช้เวลาเร็วขึ้นเพียง 5 ปี ผลิตก๊าซธรรมชาติเชิงพาณิชย์ขึ้นมาใช้ได้ ขณะที่ ปตท.สผ. ยืนยันพร้อมมีส่วนร่วมพัฒนาโครงการในอนาคต

นายมนตรี ลาวัลย์ชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ.(PTTEP) กล่าวถึงกรณีข้อพิพาทพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลบริเวณไหล่ทวีประหว่างไทยและกัมพูชา (Overlapping Claimed Area-OCA) ว่า การเจรจาแก้ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชานั้น เป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องหาวิธีตกลงกันให้ได้ โดยยังไม่ต้องกำหนดเส้นแบ่งเขตแดน แต่ควรมองหาวิธีที่จะมาพัฒนาร่วมกันได้อย่างไร ทั้งนี้หากทั้งสองประเทศสามารถตกลงร่วมกันได้ ทาง ปตท.สผ. ก็พร้อมจะเข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนา แต่ขึ้นอยู่กับภาครัฐว่าจะมองวิธีการพัฒนาในรูปแบบใด หรือ หากรัฐจะเลือกรูปแบบเปิดประมูล ปตท.สผ. ก็พร้อมที่จะเข้าร่วม อย่างไรก็ตามในส่วนของ บริษัทฯ ก็มีโครงการ G1/61 (แหล่งเอราวัณ) ในพื้นที่อ่าวไทยที่ตั้งอยู่ใกล้กับแหล่งปิโตรเลียมในพื้นที่ทับซ้อนดังกล่าวอยู่แล้ว

“ตอนพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย (JDA) เกิดขึ้นเมื่อ 50 ปีก่อน ก็เกิดจากแนวคิดที่บอกว่า  We Agree to Disagree คือ ตกลงว่าจะไม่ตกลงกันด้วยเส้นเขตแดน แล้วจึงเดินหน้าพัฒนาร่วมกัน ก็หวังว่า การเจรจาระหว่างไทยกับกัมพูชาครั้งนี้ จะเกิดขึ้นในรูปแบบนั้นเช่นกัน”

- Advertisment -

สำหรับการพัฒนาปิโตรเลียมในพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชานั้น ถือเป็นพื้นที่ ที่ยังไม่มีการสำรวจชัดเจน ไม่มีการสำรวจวัดคลื่นไหวสะเทือน (Seismic Survey) รวมถึงยังไม่มีการเจาะหลุมสำรวจฯ เป็นเพียงการคาดเดาว่าน่าจะเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพด้านปิโตรเลียม เนื่องจากพื้นที่ด้านล่างดูแล้วมีลักษณะโครงสร้างที่ต่อเนื่องจากแหล่งก๊าซฯในอ่าวไทย เช่น แหล่งเอราวัณ และบงกช จึงน่าจะมีศักยภาพ แต่อย่างไรก็ตาม ก็ต้องมีการสำรวจพื้นที่ให้เกิดความชัดเจน ไม่ว่าใครจะเป็นผู้ได้รับสัมปทานหรือได้สิทธิเข้าไปในพื้นที่ดังกล่าวก็ตาม

ทั้งนี้ หากตกลงกันได้จริง เชื่อว่าจะนำไปสู่การพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมได้อย่างรวดเร็วขึ้น เนื่องจากเทคโนโลยีขุดเจาะและสำรวจปิโตรเลียมในปัจจุบันก้าวหน้าไปมาก คาดว่าจะใช้เวลาสำรวจและผลิตก๊าซฯได้ภายใน 5 ปี จากอดีตที่ต้องใช้เวลาประมาณ 9 ปี ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับทั้งสองประเทศ

ผู้สื่อข่าวศูนย์ข่าวพลังงาน (Energy News Center – ENC) รายงานว่า สำหรับในวันที่ 7 ก.พ. 2567 นี้ สมเด็จมหาบวรธิบดีฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา และภริยา จะการเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ โดยมีกำหนดการเข้าพบกับ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งในการนี้ วันที่ 6 ก.พ. 2567 นี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะมีมติเห็นชอบในบางเรื่องก่อนที่จะเจรจากับนายฮุน มาเนต ในวันที่ 7 ก.พ. 2567 นี้ โดยคาดว่าหนึ่งในเรื่องที่จะมีการพูดคุยกันคือ การเจรจาเรื่องพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาร่วมกันระหว่าง 2 ประเทศในอนาคตต่อไป

ก่อนหน้านี้ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ระบุว่า รัฐบาลจะต้องปรับแนวทางการเจรจากับทางกัมพูชา โดยการเจรจาจะต้องเดินหน้าเฉพาะเรื่องของการเข้าไปใช้ประโยชน์ทางด้านพลังงานในพื้นที่ทับซ้อน โดยไม่เกี่ยวกับการกำหนดเส้นแบ่งเขตแดน เพื่อหาแนวทางร่วมกันพัฒนาพื้นที่ OCA ใช้ประโยชน์จากแหล่งก๊าซธรรมชาติ โดยรูปแบบการเจรจาจะต้องตั้งองค์กรหรือบริษัทร่วมกันให้ทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชาเข้าไปมีหุ้นส่วน และจะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลของทั้งสองประเทศ

ทั้งนี้ การเจรจาจะต้องเปิดโอกาสให้ภาคส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ร่วมในการเจรจาด้วย โดยเฉพาะภาคเอกชนที่เชี่ยวชาญด้านพลังงาน และจะต้องเจรจาเฉพาะเรื่องพลังงาน แยกเรื่องของเส้นเขตแดนออกมา เพราะการนำเรื่องเขตแดนเข้ามาเกี่ยวข้องจะทำให้กระทรวงการต่างประเทศเข้ามามีบทบาทด้วย ทั้งๆ ที่กระทรวงการต่างประเทศไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องพลังงาน ที่สำคัญการนำเรื่องเส้นแบ่งเขตแดนไปผูกติดกับเรื่องการใช้ประโยชน์จากพลังงานที่อยู่ใต้ดินจะทำให้การเจรจาไม่มีทางประสบความสำเร็จ

สำหรับพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชานั้น มีเนื้อที่ประมาณ 26,000 ตารางกิโลเมตร ในเบื้องต้นคาดการณ์ว่ามีทรัพยากรปิโตรเลียมมูลค่าไม่ต่ำกว่า 5 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นก๊าซธรรมชาติ มูลค่า 3.5 ล้านล้านบาท และน้ำมันดิบ มูลค่า 1.5 ล้านล้านบาท หากมีการร่วมมือกันพัฒนา และเริ่มผลิตปิโตรเลียมในแหล่งนี้ก็จะช่วยลดการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว ( LNG) ได้อย่างมีนัยสำคัญ

Advertisment