ปตท.ปรับกลยุทธ์ทิศทางธุรกิจในกลุ่มให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน โดยจะมีการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าและ New Energy ทั้งในประเทศและภูมิภาค เพิ่มขึ้นเป็น 8,000 เมกะวัตต์ในอีก 10 ปีข้างหน้า เน้นพลังงานทดแทน ระบุการที่ “โจ ไบเดน ” ชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนใหม่ จะยิ่งทำให้กระแสการขับเคลื่อนพลังงานสะอาดมีความตื่นตัวมากยิ่งขึ้น
เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2563 นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยว่า กลุ่มปตท.ได้มีการปรับกลยุทธ์ทิศทางธุรกิจในกลุ่มให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน โดยในส่วนธุรกิจไฟฟ้าที่มีบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC เป็น Flagship ในการลงทุน จะขยายการลงทุนด้านพลังงานทดแทนและ New Energy ทั้งในประเทศและภูมิภาคอาเซียน โดยมีเป้าหมายกำลังผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการลงทุนเพิ่มเป็น 8,000 เมกะวัตต์ในอีก 10 ปีข้างหน้า หรือภายในปี 2573 จากที่ปัจจุบัน GPSC มีกำลังการผลิตอยู่ราว 5,000 เมกะวัตต์ เป็นในส่วนพลังงานทดแทน 500 เมกะวัตต์
โดยที่ผ่านมา ปตท.ได้ปรับโครงสร้างภายในธุรกิจไฟฟ้าบางส่วนด้วยการเพิ่มสัดส่วนถือหุ้นใน GPSC เป็น 31.72% จากเดิม 22.81% นั้น นับเป็นการช่วยเพิ่มศักยภาพการลงทุนให้กับ GPSC และจะทำให้ GPSC มีความคล่องตัวในการลงทุนโครงการต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายดังกล่าวของกลุ่มปตท.ด้วย
นายอรรถพล ยังกล่าวถึงการที่ นายโจ ไบเดน ชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนใหม่ ด้วยว่า จะยิ่งทำให้กระแสการขับเคลื่อนพลังงานสะอาดมีความตื่นตัวมากยิ่งขึ้น เพราะมีนโยบายสนับสนุนพลังงานทดแทนมากกว่าพลังงานจากฟอสซิล โดยนายโจ ไบเดน ได้ให้คำมั่นสัญญาว่า จะนำประเทศสหรัฐอเมริกากลับเข้าร่วมความตกลงปารีสเพื่อแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก
ในส่วนของการปรับกลยุทธ์ทิศทางธุรกิจอื่นๆนั้น นางอรวดี โพธิสาโร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่กลยุทธ์องค์กร ปตท. กล่าวว่า ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม จะเน้นการขยายการลงทุนในแหล่งปิโตรเลียมหลักที่เป็นสินทรัพย์สำคัญและให้ผลตอบแทนการลงทุนที่สูง
ในธุรกิจก๊าซธรรมชาติ จะมุ่งให้ปตท.ก้าวขึ้นเป็น Global LNG Player
ธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน จะมุ่งลงทุนเพื่อให้มีความครบวงจรตลอดห่วงโซ่อุปทาน ให้มีความยั่งยืนในระดับต้นๆ เมื่อเทียบกับคู่แข่งระดับโลก รวมทั้ง เน้นการลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง
กลุ่มน้ำมันและค้าปลีก จะมุ่งสู่การเป็นแบรนด์ชั้นนำในภูมิภาค และกลุ่ม New Business จะเน้นไปในธุรกิจที่มีศักยภาพและให้ผลตอบแทนการลงทุนที่ดี โดยจะมีสัดส่วนการลงทุนในกลุ่มนี้มากกว่า 10% ของการลงทุนโดยรวมทั้งหมด