บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) เดินหน้าขยายธุรกิจพลังงานทดแทน ล่าสุดร่วมกับ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (“สปป. ลาว”) ตามยุทธศาสตร์ “GreenLeap” ก้าวสู่เป้าหมายผู้ผลิตพลังงานชั้นนำระดับโลก
ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บี.กริม เพาเวอร์ ได้ร่วมกับ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และ Lao World Engineering and Construction Co., Ltd. จัดตั้งบริษัทร่วมทุนชื่อ บริษัท Xekong 4 Power Co., Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทที่จดทะเบียนจัดตั้งภายใต้กฎหมายสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) โดยถือหุ้น 20% ของทุนจดทะเบียน คิดเป็นเงินลงทุนจำนวน 3,276.60 ล้านกีบลาว (เทียบเท่า 5,600,000 บาท โดยประมาณ) ขณะที่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ถือหุ้น 60% และ Lao World Engineering and Construction Co., Ltd. ถือหุ้น 20% เพื่อร่วมกันพัฒนาและดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเซกอง 4A และ 4B ขนาดกำลังการผลิตติดตั้งรวม 355 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ในแขวงเซกอง สปป. ลาว
การลงทุนในธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานทดแทนในครั้งนี้ เป็นไปตามเป้าหมายของ บี.กริม เพาเวอร์ เพื่อก้าวสู่การเป็นบริษัทพลังงานชั้นนำระดับโลก และสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ GreenLeap-Global and Green ที่มุ่งยกระดับความร่วมมือทางธุรกิจระดับโลกกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ ตามวิสัยทัศน์องค์กร “สร้างพลังให้กับสังคมโลกด้วยความโอบอ้อมอารี (Empowering the World Compassionately)”
สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจของ บี.กริม เพาเวอร์ จะมุ่งมั่นขยายการลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยมีโครงการโรงไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนที่อยู่ระหว่างก่อสร้างและพัฒนาโครงการในหลายแห่ง อาทิ ประเทศเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น เวียดนาม ฟิลิปปินส์ กัมพูชา กรีซ สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และซาอุดิอาระเบีย รวมทั้งประเทศไทย โดยการขยายการลงทุนในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการมุ่งหน้าสู่เป้าหมายเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนมากกว่า 50% เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของราคาก๊าซธรรมชาติในระยะยาว และยังเป็นการขยายความร่วมมือเพื่อสร้างพันธมิตรทางธุรกิจในการต่อยอดและสร้างโอกาสทางธุรกิจ ซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญในการดำเนินธุรกิจของ บี.กริม เพาเวอร์
บริษัทตั้งเป้ามีกำลังผลิตไฟฟ้าเติบโตสู่ 10,000 เมกะวัตต์ จากโครงการที่เปิดดำเนินการแล้วและอยู่ระหว่างพัฒนา ภายในปี 2573 และเป็นองค์กรที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net-Zero Carbon Emissions ภายในปี ค.ศ. 2050 (ปี พ.ศ. 2593)