ตรึงไม่ไหว ค่าไฟฟ้าเอฟที​พุ่งขึ้นตลอดปี 65

1995
- Advertisment-

ตรึงไม่ไหว กกพ.เคาะปรับขึ้นค่าไฟฟ้าในส่วนเอฟทีตลอดทั้งปี 65 เฉลี่ยที่ 28.28 สตางค์ต่อหน่วย แต่เฉพาะงวดในบิลค่าไฟเดือน ม.ค. – เม.ย. 65 อยู่ที่ 16.71 สตางค์ต่อหน่วย ทำให้ค่าไฟโดยรวมเฉลี่ยอยู่ที่ 3.78 สตางค์ต่อหน่วยโดยมีปัจจัยสำคัญมาจากต้นทุนราคาก๊าซที่เป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าทั้งในอ่าวไทยและSpot LNGนำเข้าที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นและต้องนำเข้ามากขึ้นจากกรณีที่แหล่งก๊าซเอราวัณที่ผลิตไม่ต่อเนื่องหลังสิ้นสัญญาสัมปทาน รวมทั้งอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทที่อ่อนตัว

นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2564 กกพ.
มีมติให้ปรับค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) สำหรับการเรียกเก็บค่าไฟฟ้าในรอบเดือนมกราคม – เมษายน 2565 โดยให้เรียกเก็บที่ 1.39 สตางค์ต่อหน่วยคือจาก เอฟทีติดลบ 15.32 สตางค์ต่อหน่วยหรือเพิ่มขึ้น 16.71 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้อัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.78 บาทต่อหน่วย หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.63 จากงวดปัจจุบัน

ค่าเอฟที อยู่ในฝั่งติดลบมาตั้งแต่ปี2560 ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน และงวด ม.ค.-เม.ย.2565จะเป็นครั้งแรกที่ค่าเอฟทีปรับขึ้นกลับมาเป็นบวก และจะขยับขึ้นในงวดถัดๆไปเป็นแบบขั้นบันไดตลอดทั้งปี 2565

- Advertisment -

โดยการที่ค่าเอฟทีปรับเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าทุกครั้งเนื่องมาจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง

การนำเข้าพลังงานไฟฟ้าจากต่างประเทศในส่วนของพลังน้ำที่มีต้นทุนต่ำลดลงตามฤดูกาล เช่นเดียวกับการผลิตไฟฟ้าจากถ่านลิกไนต์ที่ต้นทุนต่ำกว่าโรงไฟฟ้าก๊าซลดลงตามแผนการปลดโรงไฟฟ้าแม่เมาะ

นอกจากนี้ราคาก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าได้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นมากตามภาวะราคาน้ำมันขาขึ้นในตลาดโลก และปริมาณนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG)แบบSpot ที่มากขึ้น เพื่อทดแทนปริมาณก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยที่ลดลงเนื่องจากเป็นช่วงปลายสัมปทานแหล่งเอราวัณและในช่วงปลายเดือน เม.ย.65 ที่จะสิ้นสุดสัญญาสัมปทานต่อเนื่องไปสู่สัญญาแบ่งปันผลผลิตกับโอเปอเรเตอร์รายใหม่ การผลิตก๊าซจากแหล่งดังกล่าวจะไม่ต่อเนื่อง

ต้นทุนค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น หาก รัฐไม่นำมาตรการทางนโยบายมาบรรเทาผลกระทบค่าครองชีพให้กับประชาชน ค่าเอฟทีในงวดเดือน ม.ค. – เม.ย. 2565 จะต้องปรับขึ้นตามต้นทุนจริงถึง 63.33 สตางค์ต่อหน่วย หรือคิดเป็นเงินประมาณ 37,476 ล้านบาท (ข้อมูลตามตารางภาพ)

อย่างไรก็ตามที่ประชุม กกพ. ได้พิจารณานำเงินบริหารจัดการค่าเอฟที และเงินเรียกคืนฐานะการเงินจากการไฟฟ้าที่มีอยู่ทั้งหมดมาลดผลกระทบของการปรับค่าเอฟทีครั้งนี้กว่า 5,129 ล้านบาท และนำเงินผลประโยชน์ของบัญชีเงินที่จ่ายค่าก๊าซธรรมชาติล่วงหน้าตามปริมาณก๊าซตามสัญญาไปก่อน (Take or Pay) ของแหล่งก๊าซธรรมชาติเมียนมา จำนวนเงิน 13,511 ล้านบาท มาบรรเทาผลกระทบการปรับขึ้นค่าเอฟที ทั้งหมด 18,640 ล้านบาท

ตลอดจนใช้วิธีพิจารณาค่าแนวโน้มปี 2565 ซึ่งคาดการณ์ว่าอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยจะอยู่ในระดับ 32.1 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ราคาน้ำมันตลาดโลกคาดการณ์เฉลี่ยลดลงมาเป็นประมาณ 70 เหรียญสหรัฐต่อบาเรล และให้มีการบริหารจัดการผลิตไฟฟ้าโดยใช้น้ำมันทดแทน Spot LNG ซึ่งมีราคาสูงเพื่อลดผลกระทบต่อราคาไฟฟ้าในภาพรวม และใช้การทยอยปรับเพิ่มค่าเอฟทีแบบขั้นบันไดจึงทำให้ค่าเอฟที ในงวดเดือน ม.ค.- เม.ย. 2565 จะเพิ่มขึ้น 16.71 สตางค์ จากปัจจุบัน -15.32 สตางค์ในงวดก่อนหน้า มาอยู่ที่ 1.39 สตางค์ต่อหน่วย และทยอยปรับตามค่าจริงในรอบต่อๆ ไป

ทั้งนี้หากไม่มีมาตรการอื่นๆมาเพิ่มเติม อัตราค่าเอฟทีงวดที่เหลือ คือ เดือน พ.ค.-ส.ค.65 จะปรับขึ้นเป็น 18.10 สตางค์ต่อหน่วยและเดือน ก.ย.-ธ.ค.65 จะปรับขึ้นเป็น 34.81 สตางค์ต่อหน่วย หรือเฉลี่ยทั้งปี 65 ค่าเอฟทีจะเพิ่มขึ้น 28.28 สตางค์ต่อหน่วย

Advertisment