อนุกรรมการสรรหาตำแหน่ง “ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง” คนใหม่ เตรียมพิจารณารายชื่อผู้ผ่านคุณสมบัติ 27 พ.ค.2563 ก่อนประกาศ ผ่านเว็บไซต์ ทาง www.efai.or.th 1 มิ.ย.2563 คาด ผอ.ใหม่เริ่มปฏิบัติหน้าที่ได้ในเดือนก.ค.2563 นี้ ชี้เรื่องเร่งด่วนต้องปรับรายละเอียดแผนยกเลิกชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพในปี 2565 เหตุ COVID-19 ส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันลดน้อยลง และการยกเลิกชดเชยราคาน้ำมันจากพลังงานหมุนเวียนอาจต้องชะลอออกไป
ผู้สื่อข่าวศูนย์ข่าวพลังงาน (Energy News Center-ENC) รายงานว่า หลังจากที่สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.)ได้เปิดรับสมัครตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อมาดำรงตำแหน่งแทนนายวีระพล จิรประดิษฐกุล ที่หมดวาระไปเมื่อ 19 เม.ย.2563 ที่ผ่านมา โดยได้เปิดรับสมัครมาตั้งแต่ 23 เม.ย.2563 นั้น ขณะนี้ได้มีผู้ยื่นใบสมัครแล้ว ซึ่งจะปิดรับสมัครในวันที่ 22 พ.ค.2563 นี้
อย่างไรก็ตามคณะอนุกรรมการสรรหาที่มีนายคุรุจิต นาครทรรพ เป็นประธานจะเปิดรายชื่อพิจารณาคุณสมบัติในวันที่ 27 พ.ค. 2563 จากนั้นจะประกาศรายชื่อผู้ผ่านคุณสมบัติในวันที่ 1 มิ.ย.2563 ทาง www.efai.or.th พร้อมทั้งกำหนดวันเวลาเพื่อให้ผู้ผ่านคุณสมบัติแสดงวิสัยทัศน์และสรุปรายชื่อผู้ที่จะได้ดำรงตำแหน่งเพื่อเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง(กบน.) โดยคาดว่า ผอ.กองทุนฯคนใหม่จะเข้าปฏิบัติหน้าที่ได้ประมาณเดือน ก.ค. 2563 นี้ และกำหนดให้อยู่ในวาระได้ครั้งละ 4 ปี แต่ไม่เกิน 2 วาระ หรือไม่เกินอายุ 65 ปี
ทั้งนี้หลักเกณฑ์การรับสมัครครั้งนี้กำหนดให้ต้องเป็นผู้มีอายุ ไม่เกิน 61 ปี ในวันที่สมัคร เพื่อให้ ผอ.คนใหม่ปฏิบัติงานได้ครบ 4 ปี ซึ่งจะทำให้การทำงานเกิดความต่อเนื่อง และต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านน้ำมันและอยู่ในวงการพลังงาน เป็นต้น
โดยงานเร่งด่วนที่รอให้ ผอ.คนใหม่มาดำเนินการ ได้แก่ การปรับรายละเอียดแผนยุทธศาสตร์การยกเลิกนำเงินกองทุนฯไปชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพ ภายในระยะเวลา 3 ปี หรือภายใน 24 ก.ย. 2565 ซึ่งกรอบยุทธศาสตร์ดังกล่าวได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.)แล้ว และอยู่ระหว่างรอการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี(ครม.)
อย่างไรก็ตามในส่วนของรายละเอียดแผนงานดังกล่าวแบบรายปี ทาง สกนช.สามารถดำเนินการปรับเปลี่ยนเองได้ เพื่อให้แผนงานเป็นไปตามกรอบเวลาของแผนยุทธศาตร์ยกเลิกชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพภายใน 3 ปี ซึ่ง ผอ.คนใหม่จะต้องเร่งปรับแผนรายปี เนื่องจากปัญหาไวรัส COVID-19 ส่งผลให้แผนงานเกิดความล่าช้า เพราะตั้งแต่ตั้ง สกนช. ขึ้นมาเมื่อ 24 ก.ค. 2562 จนถึงปัจจุบัน ยังไม่ได้ดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์เลย และปัญหา COVID-19 ก็ทำให้ประชาชนใช้น้ำมันน้อยลง ส่งผลให้แผนรายปี คือ การยกระดับน้ำมันไบโอดีเซลB10 (น้ำมันดีเซลที่ผสมน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ 10%ในทุกลิตร) และน้ำมันแก๊สโซฮอล์E20 (น้ำมันเบนซินที่ผสมเอทานอล20%ในทุกลิตร)เป็นน้ำมันฐานของประเทศ ดำเนินการได้ช้าลง
ซึ่งการยกระดับน้ำมันดังกล่าว จะต้องใช้วิธีเพิ่มหรือลดการชดเชยราคาน้ำมัน เพื่อจูงใจให้ประชาชนหันมาใช้น้ำมันดีเซลB10 และแก๊สโซฮอล์E20 มากขึ้น แต่ขณะนี้ยังดำเนินการไม่ได้เพราะประชาชนใช้น้ำมันน้อยลง ทำให้เงินที่เก็บจากผู้ใช้น้ำมันเพื่อส่งเข้ากองทุนฯน้อยลงตามไปด้วย เช่น การจะผลักดันB10 เป็นน้ำมันพื้นฐานแทน B7(น้ำมันดีเซลที่ผสมน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ 7% ในทุกลิตร) จะต้องให้ประชาชนใช้ B10 ให้มากถึงระดับเป้าหมายก่อน จากนั้นจึงจะค่อยๆถอนการชดเชยราคาออก แต่ถ้าคนยังใช้ B7 อยู่เพราะราคาถูกกว่า B10 สกนช.ก็ยังถอนการชดเชยราคาไม่ได้ เป็นต้น
ดังนั้น ผอ.คนใหม่จะต้องเร่งปรับแผนรายปีดังกล่าวให้สอดรับกับสถานการณ์ COVID-19 รวมทั้งจัดโครงสร้างองค์กร สกนช.ให้เหมาะสม ซึ่งตามโครงสร้างองค์กรจะต้องมีตำแหน่งทั้งหมด 23 ตำแหน่ง ซึ่งขณะนี้ยังขาดอยู่ 3 ตำแหน่งงาน ซึ่งรวมถึงตำแหน่งผู้อำนวยการ สกนช.ด้วย